News Flash
ค่าเงินบาท (Thai baht) มีทิศทางแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุด (8 ก.ย.25) อยู่ที่ระดับ THB31.69/1USD แข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี หรือแข็งค่าขึ้นราว +2.2% QTD เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากคาดการณ์ FED จะผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน และผลจากราคาทองคำในตลาดโลกเพิ่มขึ้น (ที่มา: อินโฟเควสท์)
Implication
หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากเงินบาทกลับมาแข็งค่าและมีโอกาส outperform SET ได้มากสุด เราเลือก AAV, BGRIM, TOP
( + ) AAV (ขาย/เป้า 1.20 บาท) มีหนี้เป็น USD ราว 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งทุกๆ 1 บาท ที่แข็งค่าจะมี FX gain หลังหักภาษีราว 800 ล้านบาท ส่วนสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่เป็น USD จะสูงกว่ารายได้เล็กน้อย
( + ) BGRIM (ซื้อ/เป้า 20.00 บาท) มีหนี้เป็น USD ราว 250 ล้านเหรียญฯ ซึ่งทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าจะมี Fx gain ราว 250 ล้านบาท
( + ) TOP (ถือ/เป้า 33.00 บาท) มีหนี้สกุล USD 67% ของหนี้ทั้งหมด ทั้งนี้ TOP มีหุ้นกู้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ที่เหลืออยู่ที่ 1,194 ล้านเหรียญฯ ทำให้เราประเมินว่าทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า จะมี Fx gain ประมาณ 1,194 ล้านบาท (ไม่รวมผลกระทบจากการทำประกันความเสี่ยง (hedging) และ natural hedge)
หุ้นที่จะเสียประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่าและมีโอกาส underperform SET ได้แก่ ITC (ถือ/เป้า 14.00 บาท), TU (ซื้อ/เป้า 14.00 บาท), AAI (ถือ/เป้า 4.80 บาท)
( + ) อุตสาหกรรมและหุ้นอื่นๆ ที่จะได้รับผลบวกจาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า”
1) กลุ่มสายการบิน THAI, AAV, BA มีสัดส่วนค่าใช้จ่าย (ค่าน้ำมัน, ค่าเช่าเครื่องบิน, ค่าซ่อมแซม) ที่เป็น USD จะสูงกว่ารายได้ (การขายตั๋วเครื่องบินในต่างประเทศ) เล็กน้อย
2) กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้มีการบันทึก unrealized fx gain เข้ามา อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่ได้มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด ทั้งนี้หุ้นที่มี impact จากประเด็นดังกล่าวประกอบด้วย GULF, BGRIM, GPSC
3) กลุ่มพลังงาน เนื่องจากมี Positive net exposure ต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์ต่อสกุลเงินบาทจากการมีเงินกู้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ ส่งผลให้อาจจะมีการบันทึก unrealized fx gain สำหรับ TOP PTTGC ขณะที่ผลกระทบต่อ PTTEP และ SPRC น่าจะมีจำกัดเพราะมีการใช้ USD เป็น functional currency
( - ) อุตสาหกรรมและหุ้นอื่นๆ ที่จะเสียประโยชน์จาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า”
1) กลุ่มอาหาร เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรลดลง SUN -8%, ITC -8%, TU -7%, AAI -6%, SAPPE -5%
2) กลุ่มอิเลกทรอนิกส์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรลดลง KCE -6% และ HANA -5%
3) อุตสาหกรรมอื่น ที่ได้ผลกระทบเชิงลบจากค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ได้แก่
SAV มีรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นเงินสกุล USD ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าทำให้กำไรลดลง 3%
PRM มีรายได้และค่าใช้จ่ายเป็นเงินสกุล USD ใกล้เคียงกัน ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าทำให้กำไรลดลง 2%-3%