
สำหรับรายการลดหย่อนภาษีล่าสุดที่จะใช้ในการยื่นแบบภาษีประจำปี 2568 มีอยู่หลายประเภท โดยสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ ตามประเภทของสิทธิลดหย่อนได้ ดังนี้
ประเภทที่ 1 ลดหย่อนส่วนบุคคลและครอบครัว
- ผู้มีเงินได้ : ลดหย่อน 60,000 บาท
- คู่สมรส (ไม่มีรายได้) : ลดหย่อน 60,000 บาท
- ผู้มีเงินได้และคู่สมรส (มีรายได้) : ลดหย่อนรวมกันไม่เกิน 120,000 บาท
- บุตรที่ชอบตามกฎหมาย, บุตรบุญธรรม : ลดหย่อนคนละ 30,000 บาท
(*หากบุตรคนที่ 2 เกิดตั้งแต่ปี 2561 : ลดหย่อนคนละ 60,000 บาท)
- ค่าฝากครรภ์ ค่าคลอดบุตร : ลดหย่อนได้ตามจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท/การตั้งครรภ์ 1 ครั้ง
- ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ : ลดหย่อนคนละ 30,000 บาท และหักลดหย่อนบิดามารดาของคู่สมรสได้อีกคนละ 30,000 บาท (อายุมากกว่า 60 ปี รายได้ไม่ถึง 30,000 บาท/ปี)
- ค่าเลี้ยงดูคนพิการ/ทุพพลภาพ : ลดหย่อนคนละ 60,000 บาท
ประเภทที่ 2 ประกัน - การลงทุน
- ประกันชีวิต : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป
- กรมธรรม์ที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนคืน ต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปี
- เบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ หักลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
- ประกันสุขภาพ : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท
- หากค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ถูกนำไปรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิต ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- ประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
- บิดามารดาต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินในปีที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษี เงินได้เกิน 30,000 บาท
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
- เบี้ยประกันบำนาญต้องมีความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป, จ่ายผลประโยชน์เมื่ออายุ 55-85 ปีหรือมากกว่านั้น
- เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท แต่ในส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง และไม่เกิน 500,000 บาท ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเงินได้เพื่อเสียภาษี
- เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนใน RMF : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีในปีนั้น สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
- ต้องถือหน่วยไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่การลงทุนครั้งแรก ถือครองจนอายุ 55 ปี และต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี หรือสามารถเว้นการซื้อได้ 1 ปี
- เมื่อรวมเข้ากับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสมกองทุน กบข, เงินสะสมกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยเอกชน ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินในปีนั้น และต้องไม่เกิน 200,000 บาท
- เงินค่าซื้อหน่วยลงทุน Thai ESG : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินในปีนั้น และต้องไม่เกิน 300,000 บาท
- ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (มีผลบังคับใช้ในปี 2567-2569)
- เงินค่าซื้อหน่วยลงทุน Thai ESGX : สำหรับเงินลงทุนใหม่ ปี 2568 ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินในปีนั้น และต้องไม่เกิน 300,000 บาท
- ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน
- วงเงินลงทุนของ Thai ESGX สำหรับการลงทุนใหม่ แยกออกต่างหากจาก Thai ESG และการสับเปลี่ยนจาก LTF ไปที่ Thai ESGX
- สำหรับผู้ที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF ไปที่ Thai ESGX จะได้รับวงเงินลดหย่อนสูงไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน โดยมีหลักเกณฑ์ลดหย่อนสูงสุดแบ่งตามปี โดยจากรายได้พึงประเมินในปี 2568 ลดหย่อนสูงสุด 300,000 บาท และหากมีส่วนที่เกินวงเงินนี้ จะถูกนำไปลดหย่อนในปีภาษี 2569 - 2572 ปีละ 50,000 บาท
- เงินสะสม กบข. : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- เงินสะสมกองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท
- เงินสมทบประกันสังคม : ลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท
สำหรับเบี้ยประกันชีวิต เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมเข้ากับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, เงินสะสมกองทุน กบข, เงินสะสมกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยเอกชน, เงินค่าซื้อหน่วย RMF ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ประเภทที่ 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐ
- ดอกเบี้ยบ้าน : ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
- ค่าก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้รับจ้าง (สำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) : ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท (จำนวน 10,000 บาท ต่อทุก 1,000,000 บาท)
- Easy e-Receipt 2.0 : 2568 ลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท (ตั้งแต่16 มกราคม 2568 - 28 กุมภาพันธ์ 2568) โดยแบ่งวงเงินออกเป็น 2 ส่วน
- วงเงินส่วนแรก 30,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าทั่วไปกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ออก e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ได้
- วงเงินส่วนที่สองคือ 20,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้ากับร้านค้า OTOP หรือร้านค้าวิสาหกิจชุมชน
- ติดตั้ง Solar Rooftop สามารถลดหย่อนภาษีได้ในวงเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
(*รอประกาศจากกรมสรรพากร)
เงื่อนไข:
- ชื่อผู้ใช้สิทธิ์ต้องตรงกับชื่อเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้า
- สิทธิ์การลดหย่อน 1 บุคคลต่อ 1 มิเตอร์ ต่อ 1 ระบบ
- ต้องเป็นระบบ On-Grid มีกำลังการผลิตที่ติดตั้งไม่เกิน 10 kW ต่อหลัง
- มีการจัดซื้อ ติดตั้ง และขออนุญาตกับโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อจำหน่าย
- มีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ประเภทที่ 4 เงินบริจาค
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา กีฬา โรงพยาบาลรัฐ ผ่านระบบ e-Donation หักได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- เงินบริจาคอื่น ๆ หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- เงินบริจาคให้แก่พรรคการเมือง หักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
ข้อมูลอ้างอิงจาก : www.etaxgo.com