📈 ตลอด 400 ปี กับการมีอยู่ของตลาดหุ้น เราผ่านวัฏจักรการขึ้นและลงของหุ้นมานับครั้งไม่ถ้วน แม้เหตุในแต่ละรอบจะต่างกัน ทุกสิ่งรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ “จิตใจมนุษย์” จากความสงสัย → ความเชื่อมั่น → ความโลภ → ความสิ้นหวัง วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ทฤษฏีที่ว่า ฟองสบู่แบ่งเป็น 4 ช่วง ยังใช้ได้จริงตลอดมา
การเข้าใจวัฏจักรนี้ จะทำให้คุณไม่หลงเพลินไปกับฝันของตลาด และพร้อมตื่นทันทีที่ “นาฬิกาปลุกดัง” นี่คือก้าวสำคัญที่จะทำให้คุณลงทุนอย่างมั่นใจขึ้น มองเห็นโอกาส และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดซ้ำเดิม
จะกี่วัฏจักร ตลาดมีอยู่แค่ 4 ช่วงเท่านั้น
1. เริ่มออกตัว (ช่วง Stealth Phase - หุ้น Take Off)
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดยังเงียบสงัดแทบไม่มีใครสนใจ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นคุณค่า แต่ “Smart Money” อย่าง Hedge Fund หรือนักลงทุนที่ประสบการณ์สูงจะค่อย ๆ เข้ามาซื้อสะสมหุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัวต่อ หรือราคาลงมามากกว่าความเป็นจริงอย่างเงียบ ๆ 🤫 แม้บรรยากาศโดยรวมออกจะน่าเบื่อและไม่เร้าใจ ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อการเงินแทบไม่พูดถึง ราคาเคลื่อนไหวช้า ๆ ขึ้นบ้างลงบ้าง ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเริ่มเห็นการค่อย ๆ “คืบคลานขึ้นช้า ๆ” ของราคา
ช่วงนี้เราจะไม่เห็นนักลงทุนหน้าใหม่มากนัก เราจะไม่ค่อยเห็นการพูดคุยเรื่องหุ้น และการลงทุนตามที่สาธารณะ บ้างก็ว่าการลงทุน “ไม่เห็นน่าสนใจเลย” หรือ “ราคาคงขึ้นได้ไม่เยอะหรอก” แต่สำหรับคนที่เข้าใจ พวกเขากลับรู้สึกตื่นเต้น เพราะเชื่อว่าได้เจอเพชรในตม สิ่งที่ผลักดันราคาช่วงนี้ไม่ใช่กระแส แต่คือข้อมูลเชิงลึกที่เริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตบางอย่าง และมุมมองระยะยาวของคนที่มองเห็นโอกาสก่อนใคร แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าสินทรัพย์นั้นจะมีอนาคตที่ดีแน่ ๆ แต่พื้นฐาน และมูลค่าอยู่ในระดับที่ความคาดหวังต่ำ ทำให้ช่วงนี้ “ถ้าแพ้ ราคาก็ลงไม่มาก เพราะมีพื้นฐานค้ำ แต่ถ้าชนะ อาจไปได้ไกล”
2. ผู้คนเริ่มตื่นตัว (Awareness Phase) – First Sell - off และ Bear Trap
เมื่อราคาค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาจากช่วงจุดออกตัว ความสนใจเริ่มขยายจากกลุ่ม Smart Money ไปสู่สถาบันการเงิน กองทุนขนาดใหญ่ และนักลงทุนที่ใกล้ชิดตลาดมากขึ้น ช่วงนี้พื้นฐานสินทรัพย์เริ่มกลับมาเติบโตได้ พวกเขาเริ่มสังเกตเห็นว่า สินทรัพย์นี้มีศักยภาพ และพื้นฐานรองรับ ไม่ใช่แค่การเก็งกำไร แต่มี “เรื่องราว” ให้ลงทุนได้จริง ทำให้บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้นเล็กน้อย นักวิเคราะห์เริ่มมีการปรับเป้าราคาขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงนี้ ข่าวเริ่มโผล่มาให้เห็นตามสื่อ แม้ยังไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็เพียงพอให้คนในวงกว้างเริ่มหันมามอง (แม้ยังเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนคนทั้งหมด)
😟 อย่างไรก็ตาม ตลาดไม่เคลื่อนไปแบบเส้นตรง เมื่อราคาขึ้นมาระดับหนึ่ง จะเกิดแรงขายครั้งแรก หรือ First Sell - off จากนักลงทุนบางกลุ่มที่ได้กำไร และเริ่มขายออกมาก่อน เนื่องจากเมื่อเทียบกับช่วงแรกแล้วถือว่ากำไรที่สะสมมาได้คุ้มค่ากับการเก็บกำไรแล้ว ส่งผลให้ราคาย่อลงแรงชั่วคราว บรรยากาศในตลาดเต็มไปด้วยความลังเล หลายคนที่เพิ่งตามเข้ามาเริ่มสงสัยว่า “นี่หรือเปล่าที่เรียกว่าตลาดขาลง?”
😅 แต่แท้จริงแล้วนี่คือ “Bear Trap กับดักหมี” ที่ทำให้คนใจร้อนรีบขายทิ้ง เพราะคิดว่าตลาดกำลังจะพัง ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นเพียงการพักฐาน ก่อนที่แนวโน้มใหญ่จะกลับมาขึ้นต่อ นักลงทุนที่มีประสบการณ์และเข้าใจวงจรจะไม่ตื่นตกใจ แต่กลับใช้จังหวะนี้เป็นโอกาสเข้าซื้อเพิ่ม เพราะรู้ว่ายังอยู่เพียงต้นทางของกระแสใหญ่
3.1 ความเชื่อมั่นก่อตัว (Mania Phase ช่วงแรก)
หลังจาก Bear Trap ที่ราคาปรับตัวลงมาเพราะความไม่เชื่อ แต่พื้นฐานของบริษัทหรือสินทรัพย์ยังคงไปต่อได้ กระแสใหม่กลับมาเชื่อมั่น (Enthusiasm) นักลงทุนเริ่มเชื่อว่า “นี่แหละคือโอกาสครั้งใหญ่” กองทุนเริ่มเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ความรู้สึกในตลาดช่วงนี้คือความมั่นใจ และการคาดหวังว่าพื้นฐานที่แข็งแรง จะพาราคาไปได้ไกลกว่านี้ เราจะเริ่มเห็นข่าวและ Influencer พูดถึงผลตอบแทนในหุ้นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทชั้นนำ โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้นำตลาดในรอบนั้นจะเริ่มถูกผู้คนสนใจ เราจะเห็นผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ได้ถูกสัมภาษณ์ หรือมีสื่อจับจ้องมากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้าชัดเจน และเพราะสื่อสามารถเข้าถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศได้ ก็จะดึงดูดให้นักลงทุนหน้าใหม่ และผู้คนที่เห็นด้วยกับมุมมองทางธุรกิจเหล่านั้น ให้เริ่มหันมาสนใจการลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนักลงทุนเก่าที่มั่นใจขึ้น และนักลงทุนใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
3.2 ช่วงความโลภครอบงำ (Mania Phase ช่วงท้าย - Greed → Delusion → New Paradigm)
จากที่ก่อนหน้านี้ความหวังเพิ่งเริ่มก่อตัว ตอนนี้ตลาดก้าวเข้าสู่จังหวะที่ “กำไรต่อกำไร” ราคาขึ้นแล้วขึ้นอีก ทำให้นักลงทุนเริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ สถาบันและนักลงทุนรายใหญ่บางส่วนเริ่มใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น Leverage หรืออนุพันธ์ เพื่อเร่งผลตอบแทน ตลาดจึงยอมรับความเสี่ยงมากขึ้นโดยแทบไม่ลังเล
🤯 ความคาดหวังถูกยกขึ้นต่อเนื่อง ทุกครั้งที่พื้นฐานของบริษัท หรือสินทรัพย์ออกมาตามที่นักลงทุนอยากเห็น มันจะกลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้ทุกคนกล้าคาดการณ์ไกลขึ้นไปอีก การปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจากนักวิเคราะห์ ซึ่งแต่ก่อนอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าราคาจะขยับตาม แต่ตอนนี้แค่มีข่าวหรือมีการปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เพียงวันเดียวราคาตลาดก็พร้อมจะวิ่งขึ้นไปแตะอย่างรวดเร็ว บรรยากาศในตลาดดูเหมือนว่าราคาสามารถขึ้นต่อเป็นเส้นตรงไม่มีที่สิ้นสุด ราคาทรัพย์สินจะหยุดพักหายใจน้อยลงเรื่อย ๆ ราวกับว่า ราคาไม่สามารถรออยู่เฉย ๆ ได้ ต้องขึ้นและลงแรง ๆ ตลอดเวลา ความผันผวนเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ทุกราคาที่ตกลงมา มีคนที่พร้อมซื้อเสมอ
😎 นี่คือ Delusion - ภาพลวงตา ช่วงที่นักลงทุนจำนวนมากมีความสุขที่สุดในการลงทุน หลายคนเพิ่งลงทุนแค่ 1 – 2 ปี แต่กลับทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ ความมั่นใจสูงขึ้นจนเชื่อว่า “ตนเองเจอเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว” และบางคนถึงขั้นเชื่อว่า หากรักษาผลตอบแทนแบบนี้ได้ทุกปี ชีวิตพวกเขาจะเปลี่ยนไปตลอดกาล เสียงเชียร์เริ่มดังขึ้นทุกหนแห่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความโลภ ความเชื่อมั่นสุดโต่ง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลตอบแทนดีสุดเทียบกับทุกช่วง โดยทั่วไปแล้วช่วงนี้ สามารถยาวนาน กินเวลาอยู่ได้หลายปี หากไม่มีปัจจัยใด ๆ มาเปลี่ยนความคิดนักลงทุนว่าสิ่งที่เขาคาดไว้จะไม่เป็นจริง
🦸♂️ ตลาดจะเต็มไปด้วยความรู้สึกว่ากฎเกณฑ์เก่า ๆ ของตลาดได้ถูกทำลายลงแล้ว นี่คือสิ่งที่เรียกว่า
“New Paradigm” เมื่อผู้คนแน่ใจเต็มที่ว่าเรากำลังก้าวสู่โลกใหม่ที่ต่างออกไป มันมักจะเป็นคือสัญญาณตรงกันข้ามที่บอกว่าโลกเราไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
4.1 ช่วงฟองสบู่แตกตอนต้น (Blow-off Phase – Denial & Return to “Normal”)
หลังจากที่ตลาดเต็มไปด้วยความมั่นใจสุดโต่ง ราคาที่พุ่งขึ้นราวกับไร้ขีดจำกัดพาให้นักลงทุนเคลิ้มฝันหวานไปไกล แต่บางครั้ง เราจะรู้สึกตัวว่า “นี่ไม่ใช่ความจริง” และพยายามจะลุกตื่นขึ้นมา คนที่รู้สึกได้และตื่นก่อนส่วนใหญ่ก็คือกลุ่มสถาบัน และ Smart Money ที่มีข้อมูลพร้อมในมือ และจับสัญญาณได้ก่อน เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ว่าภาพฝันนี้ไม่ยั่งยืนแล้วจะเริ่มทยอยตื่น และลุกออกจากเตียง หรือเลือกขายสินทรัพย์ออกมา
การปรับฐานที่เกิดขึ้นคราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ เพราะแรงขายเริ่มหนักหน่วงกว่าปกติ ความผันผวนรุนแรงขึ้น ราคาที่เคยพุ่งขึ้นวันละหลายเปอร์เซ็นต์กลับร่วงลงแรงในเวลาไม่นาน แม้ข่าวหรือปัจจัยพื้นฐานที่ออกมาไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร แต่ราคากลับตอบสนองตรงข้าม สร้างความตกใจให้กับนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาไม่นาน
นี่คือบรรยากาศของ
🙈 “การปฏิเสธความจริง” (Denial) นักลงทุนจำนวนมากยังไม่ยอมรับว่านี่คือการเปลี่ยนทิศจริง พวกเขามองว่ามันเป็นเพียง “การพักฐานชั่วคราว” คล้ายกับหลายครั้งก่อนที่ราคาย่อลงแล้วกลับขึ้นแรงกว่าเดิม เสียงส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่าการลงมาคือ “โอกาสทองในการซื้อเพิ่ม”
😬 ราคาจึงดีดกลับขึ้นไปได้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม ผู้เล่นบางส่วนได้ลุกออกจากโต๊ะแล้ว ทำให้ตลาดไม่แข็งแรงเหมือนก่อน แม้ราคากลับขึ้น แต่ก็ไม่อาจไปถึงจุดสูงสุดเดิม ภาพฝันเริ่มบิดเบี้ยว และค่อย ๆ ปลุกนักลงทุนกลุ่มอื่นให้เริ่ม “ตื่น” ตามกันมา สู่ภาวะที่พวกเขายอมรับว่าอนาคตที่เคยวาดฝันไว้นั้น “มันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน” และได้เวลาที่ต้องกลับมาเผชิญ ความจริง (Return to Normal)
4.2 ช่วงฟองสบู่แตกตอนท้าย (Blow - off Phase – Fear → Capitulation → Despair → Return to the Mean)
เมื่อราคาฟื้นตัวจากการตกลงครั้งแรก แต่ไม่อาจกลับไปแตะจุดสูงสุดเดิมได้ ความมั่นใจที่ยังเหลืออยู่ในตลาดเริ่มสั่นคลอน 😰 เสียงเชียร์ที่เคยดังเริ่มเงียบลง นักลงทุนที่ยังหลงอยู่ในฝันค่อย ๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ทุกครั้งที่ราคาลงแรงกว่าเดิม พวกเขาเริ่มหวาดกลัว (Fear) ว่าครั้งนี้อาจไม่เหมือนที่ผ่านมา
แรงขายจากนักลงทุนสถาบันที่ทยอยถอนตัว ทำให้ราคาดิ่งลงต่อเนื่อง คราวนี้ไม่ใช่เพียง “การพักฐาน” แต่กลายเป็น “การไหลลง” แบบที่ไม่มีใครหยุดได้ นักลงทุนรายย่อยซึ่งถือของเต็มพอร์ต บางคนยังยืนยันเสียงแข็งว่าจะไม่ขาย เชื่อว่าระยะยาวยังดีเหมือนเดิม แต่เมื่อตลาดไม่ฟื้นตามที่หวัง ความกดดันเริ่มกัดกินจิตใจ จนท้ายที่สุดหลายคนต้องยอมแพ้ และขายขาดทุนออกมาแบบต่อเนื่อง เกิดเป็นช่วง ยอมรับความผิดพลาด (Capitulation) เหมือนฝูงชนจำนวนมากแย่งกันหาทางออกจากห้องแคบ ราคาจึงร่วงลงอย่างรุนแรงในเวลาอันสั้น
เมื่อราคาทรุดหนักจนห่างไกลจากจุดสูงสุด ความรู้สึกของนักลงทุนเข้าสู่จุดที่มืดมนที่สุด คือ ความสิ้นหวัง (Despair) หลายคนที่เพิ่งเข้ามาในตลาดไม่กี่ปี สูญเสียผลกำไรทั้งหมดที่เคยได้มา บางคนถึงขั้นขาดทุนจนหมดแรงใจ สื่อกลับมานำเสนอเชิงลบอย่างหนัก ข่าวเต็มไปด้วยคำพูดว่า “สินทรัพย์นี้หมดอนาคตแล้ว” หรือ “นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่” บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงตำหนิบริษัท เสียงบ่นของผู้ขาดทุน และเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่รู้จะทำอย่างไร นักลงทุนที่ยังเหลือของติดพอร์ตเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คำถามวนซ้ำในใจว่า “ทำไมตอนนั้นไม่ขาย” หลายคนถึงกับสาบานว่าจะไม่กลับมาแตะอีกเลย
🌈 แต่เมื่อความฝันพังทลายหมดสิ้น และราคาลงลึกเกินกว่าที่ควรเป็นแล้ว กลุ่ม Smart Money ก็เริ่มกลับมาแอบสะสมท่ามกลาง “ซากปรักหักพัง” ราคาจึงเริ่มร่วงช้าลง แรงซื้อใหม่ค่อย ๆ เข้ามาพยุง ทำให้ตลาดสงบลงอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ กลับเข้าสู่ระดับที่สมดุลมากขึ้น (Return to the Mean)
วัฏจักรอันยาวนานปิดฉากลงราวกับทุกคนตื่นขึ้นจากฝันอันขมขื่น ความจริงที่เจ็บปวดแต่ปรากฏชัดเจนว่า สิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็น “โลกใหม่” แท้จริงแล้วก็เป็นเพียง “โลกเก่า” ที่หมุนเวียนซ้ำไปมา และเมื่อสมดุลกลับคืนมา ตลาดก็พร้อมรอวันที่จะ “ออกตัว” (Take Off) อีกครั้ง และเริ่มวัฏจักรใหม่แบบที่ไม่มีวันสิ้นสุด
😊 #อ่านวัฏจักรให้ขาด #ก่อนตลาดอ่านเรา
วัฏจักรตลาดไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตัวเลข หรือพื้นฐานเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมาจาก “อารมณ์ของนักลงทุน” ที่หมุนเวียนซ้ำไปมา ตั้งแต่ความสงสัย ความเชื่อมั่น ความโลภ จนถึงความสิ้นหวัง ก่อนจะกลับคืนสู่สมดุลอีกครั้ง สิ่งที่บอกว่าคุณกำลัง “หลับอยู่ในฝัน” ง่ายที่สุดคือการถามใจตัวเอง เมื่อราคาขึ้นทุกวัน คุณรู้สึกอย่างไร? ถ้าความมั่นใจบอกว่านี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง และอนาคตจะไม่มีวันจบ อาจหมายความว่าคุณกำลัง “ฝันไปกับตลาด”
แต่อย่าเพิ่งคิดว่าคุณต้องลุกจากเตียงทันที เพียงเพราะรู้ว่านั่นเป็นแค่ความฝัน คุณยังนอนดื่มด่ำกับมันต่อได้ แต่เมื่อ “นาฬิกาปลุกดังขึ้น” คุณจะพร้อมลุกก่อนใคร หากคุณเตรียมพร้อม มีสติ และสังเกตพฤติกรรมของฝูงชนให้ดี คุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อของวัฏจักร แต่จะเป็นผู้ที่ “ตื่นก่อน” และมองเห็นความจริงได้ชัดเจนกว่าใคร
เพราะฉะนั้น อย่าหยุดถามตัวเอง “ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงไหนของวัฏจักรกันแน่?”
Image: Wikimedia - Stages of a bubble
#DAOLSEC #INVESTMENT_MASTERY
DAOL Contact Center Address เลขที่ 87/2 อาคารซีอาร์ซีทาวเวอร์ ชั้นที่ 18 ออลซีซั่นส์เพลส ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
©2025 บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สงวนลิขสิทธิ์