• สรุปภาพรวม : คาดดัชนีฯ  ผันผวนสูง ตลาดจะไปขึ้นกับทิศทางการเมืองของไทยเป็นหลัก

  คาดว่าตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้  ทิศทางตลาด จะขึ้นกับสองเรื่อง คือ การเลือกนายกฯคนใหม่ และตลาดต่างประเทศจะให้ความสนใจกับทิศทางหุ้น Tech รวมถึงเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ฯ สั่งให้การใช้มาตรการภาษีของ  “Trump”  มีความผิด ..... ประเมินกรอบดัชนีฯ ก่อนทราบผลเลือกนายกฯ ไว้ที่ 1200-1250 จุด

• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ   ปรับตัวลงในวันศุกร์ นำโดยการเทขายในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดมาตลอด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดัชนี Nasdaq 100 ลดลง 1.2% ......การปรับตัวลงนี้เกิดขึ้นแม้ว่าข้อมูลเงินเฟ้อ (ดัชนีราคา PCE) จะออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่  Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดพันธบัตรระยะสั้นยังคงมีผลตอบแทนที่ดีกว่า

• ศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้พิพากษาว่ามาตรการภาษีศุลกากรวโลกส่วนใหญ่ของประธานาธิบดี  ทรัมป์ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ศาลยังคงให้มาตรการภาษีเหล่านี้มีผลบังคับใช้ต่อไปในระหว่างการพิจารณาคดีเพิ่มเติม  โดยคำตัดสินจะมีผลบังคับใช้วันที่ 14 ตุลาคมนี้ เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสหรัฐต่อไป ……..  ข่าวนี้ แม้จะดีต่อทุกประเทศ(หากยกเลิกภาษี)  แต่ช่วงสั้นๆ จะทำให้ตลาดเกิดความไม่แน่นอน เพราะเวลานี้มี เรื่อง Fed ที่ถูกกดดันจากฝ่ายการเมืองอยู่แล้ว ดอลล่าร์และทองคำ อาจขยับขึ้นในฐานะที่เป็น safe haven จนกว่าตลาดจะลดความกังวลลง

• ตลาดเตรียมเข้าสู่ช่วง Silent period ของธนาคารกลาง Fed ก่อนการประชุม 17 ก.ย. โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งนี้

• Fund Flow : สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ยังไหลออกจากตลาดเอเซีย โดยสัปดาห์นี้ ให้ติดตามเรื่องการเจรจาการค้าสหรัฐฯ และท่าทีของ “Trump” หลังศาลระบุว่า การใช้มาตรการภาษีมีความผิด

• อินเดียและสหรัฐฯ ยังคงเปิดช่องทางการสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการ และในขณะนี้อินเดียยังไม่มีแผนตอบโต้ต่อมาตรการภาษี 50% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในทันที

• การเมือง : “แพรทองธาร” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สัปดาห์นี้ จะมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย มากกว่าเรื่องอื่นๆ โดยจะเป็นได้ทั้งบวกแล้วลบ ....แม้ตลาดรับรู้เรื่องเหล่านี้(นายกฯพ้นจากตำแหน่ง) มาบ้างแล้ว แต่จากนี้ไป ยังไม่มีความชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ทำให้ดัชนีฯจะผันผวน  กรอบดัชนี SET Index ก่อนทราบผลเลือกนายกฯ มองไว้ที่ 1200-1250 จุด โดยจะมีการโหวต ช่วงวันที่ 3-5 กันยายน

• ธปท. ระบุว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอาจชะลอตัวลง โดยมีปัจจัยกดดันจากการส่งออกที่ชะลอตัวซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และภาคการท่องเที่ยวที่เผชิญการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น

• สัปดาห์นี้ หุ้นธนาคารเริ่มมีการขึ้นเครื่องหมาย ”XD” ได้แก่ SCB@2.00 บาท/หุ้น จ่าย 2 ก.ย., KBANK@2.00 บาท/หุ้น และ KKP@1.50 บาท/หุ้น จ่าย 10 ก.ย. เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนบางส่วนที่เข้ามาซื้อหุ้นเพื่อรับเงินปันผล อาจมีการขายทำกำไรหลังกลุ่มหุ้นดังกล่าวขึ้นเครื่องหมาย XD ไปแล้ว ทั้งนี้ KTB จะไม่ได้รับผลกระทบนี้เนื่องจากจ่ายเงินปันผลเพียงปีละครั้ง

• Event สัปดาห์นี้ : เงินเฟ้อของไทย  (4ก.ย.); (ครั้งก่อน: -0.70%),  ตัวเลข non-farm payroll ของสหรัฐฯ (5 ก.ย.); (คาดการณ์: 4.25%, ครั้งก่อน: 4.2%)

 

• ตลาดหุ้นไทย เรายังมองว่ามีความเสี่ยง โดยเฉพาะถ้าคุณอนุทินขึ้นเป็นนายกฯ และ/หรือ มีการพูดถึงการยุบสภาฯในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อาจกลบข่าวบวกในการมีนายกฯ คนใหม่ไปได้เลย

• กลยุทธ์หลัก  ลดความเสี่ยงลง และรอตัดสินใจ หลังทราบว่านายกฯ และพรรคร่วมเป็นใคร

• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ DELTA*, MTC*, GLOBAL, ADVANC ออก หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย GULF(10%), SCB(10%)

 

( + ) Pet Food (Neutral), TU (ซื้อ/เป้า 14.00 บาท) ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ชี้มาตรการ tariffs ไม่ชอบด้วย กม. แต่ระงับคำตัดสินไว้ถึง 14 ต.ค. เพื่อเปิดให้ยื่นอุทธรณ์

 ( - ) CPAXT (ซื้อ/เป้า 25.00 บาท) บริษัทเข้าซื้อหุ้น 100% ของบริษัท Renewed Hope (บริษัทโฮลดิ้งในสิงคโปร์) มูลค่า 8.1 พันล้านบาท

 

( - ) หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง

( - ) หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในอินโดนีเซีย