News Flash
รมว.คมนาคม เตรียมเสนอ ครม. อนุมัติหลักการ Single Ownership เปิดทางซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันพรุ่งนี้ (9 ธ.ค.) กระทรวงคมนาคม เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติหลักการ Single Ownership โดยให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการกำกับดูแลให้ทุกโครงการรถไฟฟ้าอยู่ภายใต้นโยบายเดียวกันอย่างมีเอกภาพ และสามารถกำหนดค่าโดยสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้ โดยประเด็นสำคัญคือ หาก ครม. เห็นชอบหลักการดังกล่าว จะเปิดทางไปสู่การซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากเอกชนที่ถือสัญญาในรูปแบบสัมปทานแบ่งรายได้แก่รัฐ (PPP Net Cost)
นอกจากนี้จากการหารือร่วมกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เบื้องต้นเห็นว่าวิธีการซื้อคืนสัมปทานมีความเป็นไปได้ 2 แนวทางคือ 1) การระดมทุนโดยการออกพันธบัตร (Bond) ร่วมกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF Fund) และ 2) รัฐแก้สัญญาสัมปทานจาก PPP Net Cost เป็นแบบจ้างวิ่งบริการ หรือ PPP Gross Cost และให้สัมปทานเอกชนรายเดิม 30 ปี (รัฐจ่ายค่าจ้างเดินรถรายปี) เพื่อให้เอกชนมีหลักทรัพย์สามารถนำไปกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินมาก่อนระหว่างที่รอรัฐชำระเงินซื้อคืน หรือหากเอกชนมีเงินมากพอก็อาจไม่กู้ก็ได้ และรอรัฐชำระเงินซื้อคืนสัมปทานให้ภายหลังพร้อมดอกเบี้ย
ขณะเดียวกัน รฟม. ได้นำเสนอผลการศึกษาแนวทางการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าที่มีความเป็นไปได้เบื้องต้นว่า เริ่มแรกรัฐต้องเจรจากับเอกชนเพื่อแก้สัญญาสัมปทานจาก PPP Net Cost เป็นแบบ PPP Gross Cost ก่อน หลังจากนั้นรัฐให้สัมปทานเอกชนรายเดิมเป็นเวลา 30 ปี ส่วนค่าโดยสารร่วมจะเริ่มต้นจัดเก็บที่ 40 บาท (เหมาจ่ายรายวันทุกสายทาง) และจะปรับขึ้นทุก 2 ปี 10 บาท และเมื่อค่าโดยสารปรับขึ้นจนถึง 80 บาทแล้ว ก็จะมีการปรับขึ้นทุก ๆ ปี ปีละ 2 บาท โดยตามหลักการนี้ประเมินว่ารัฐจะเริ่มมีรายได้เป็นบวกในปีที่ 12 นับจากการแก้สัญญา และจะเริ่มจ่ายค่าซื้อคืนสัมปทานแก่เอกชนได้ (ที่มา: ข่าวหุ้น)
Implication
เรามีมุมมองเป็นกลาง โดยสำหรับแนวทางแรกของการซื้อคืนสัมปทาน เราคาดการณ์มีความเป็นไปได้ที่รัฐจะเจรจาโดยอิงตามมูลค่าของสัมปทานที่เหลือ ทำให้มูลค่าโดยรวมจะใกล้เคียงเดิม ขณะที่เรามองเป็นบวกเล็กน้อยสำหรับแนวทางที่ 2 โดยหากคำนวณมูลค่าของสัญญาจ้างวิ่งบริการ PPP Gross Cost ใหม่ ระยะเวลา 30 ปี และสุทธิกับมูลค่าสัมปทานที่คงเหลือปัจจุบัน เบื้องต้นเราประเมินจะเป็น upside ราคาเป้าหมาย BEM และ BTS ราว 4-5 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันประเด็นดังกล่าวยังเป็นเพียงการเจรจาเบื้องต้น โดยมูลค่าการซื้อคืนสัมปทานและสัญญาใหม่ยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะที่ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่าการซื้อคืนสัมปทานจะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ทำให้เรามองว่าประเด็นดังกล่าวยังต้องใช้เวลา รวมถึงต้องรอทิศทางนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ด้วย ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายปัจจุบัน
ทั้งนี้สำหรับกลุ่ม Ground Transport เราคงน้ำหนัก “Neutral” และ Top pick ได้แก่ BEM (ซื้อ/เป้า 10.00 บาท) โดยปัจจุบันเทรด 2025E PER 22x เทียบกับ BTS 146x ขณะที่เราคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มระยะยาวตามการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้า ขณะที่สำหรับโครงการใหม่ แม้โครงการ Double Deck มีโอกาสล่าช้าจากการเปลี่ยนรัฐบาล แต่เราเชื่อว่า BEM ยังมีโอกาสที่จะได้โครงการดังกล่าว โดยคาดเห็นความคืบหน้าในปี 2026E