News Flash
ยอดจองรถยนต์งาน Motor Show 2025 เติบโตดี +45% YoY สรุปยอดจองรถยนต์ในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ครั้งที่ 46 ตลอดระยะเวลาของการจัดงาน 14 วัน ระหว่างวันที่ 24 มี.ค. - 6 เม.ย.2025 มีจำนวนรวม 77,379 คัน เพิ่มขึ้น +45% จากการจัดงานในปีก่อน โดยพบว่าสัดส่วนยอดจองรถแบ่งเป็นรถในกลุ่ม xEV ราว 65% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่ายรถยนต์จากจีน และรถยนต์ประเภทเอสยูวีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ยอดจองรถยนต์สันดาปอยู่ที่ราว 35% โดยค่ายรถยนต์ BYD แซงขึ้นมามียอดจองสูงสุด ตามมาด้วย Toyota, GAC Aion, Deepal และ Honda
Implication
เรามองเป็นบวกเล็กน้อยจากยอดจองรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นดี โดยเฉพาะยอดจองรถ EV จากค่ายรถยนต์จีนที่เพิ่มขึ้นมาก (แต่ผลกระทบต่อหุ้นใน SET จำกัด) ส่วนค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นยังมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี ดังนั้น เราประเมินจะส่งผลบวกต่อยอดขายรถยนต์ในประเทศตั้งแต่ เม.ย.2025 จะเริ่มทรงตัวได้ จากที่ลดลงมากต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2024 และ 2H25E มีโอกาสกลับมาเติบโตได้จากฐานต่ำปีก่อน โดยการผลิตรถยนต์ BEV จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าตามเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการภาครัฐ ซึ่งจะทำให้ยอดผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศในปี 2025 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ ส.อ.ท.ประเมินไว้ที่ 5.0 แสนคัน +8% YoY ทั้งนี้ เรายังประเมินยอดผลิตรถยนต์ปี 2025 ที่ 1.45-1.50 คัน ทรงตัว YoY อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงที่ยอดผลิตรถยนต์จะทำได้ต่ำกว่าเป้า จากการส่งออกรถยนต์ที่เริ่มชะลอตัว โดยเฉพาะจากประเด็นสงครามการค้า ทำให้ประเทศคู่ค้าระมัดระวังการใช้จ่าย
กลุ่ม Automotive ยังให้น้ำหนัก underweight ไม่มี top pick โดย SAT (ถือ/เป้า 12.00 บาท) เราประเมิน SAT กำไรปี 2025E จะทรงตัวตามยอดผลิตรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากยอดผลิตรถกระบะที่เป็นฐานลูกค้าหลักของ SAT ยังมีโอกาสลดลง จากปัจจัยเสี่ยงทั้งด้านยอดขายรถยนต์ในประเทศยังอาจฟื้นตัวช้า และการส่งออกมีโอกาสชะลอตัวกว่าคาด ขณะที่อาจมีปัจจัยบวกทดแทนจากรายได้กลุ่มชิ้นส่วนเครื่องจักรกลการเกษตรที่ดีขึ้น
ยอดจองรถ EV ของจีนที่เพิ่มขึ้นมาก ยังมีผลบวกต่อหุ้นใน SET ค่อนข้างน้อย โดยเราประเมินยังไม่มีหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยตรง แต่จะมีผลบวกต่อหุ้นใน SET บางส่วน ได้แก่ หุ้นกลุ่มนิคมฯ (WHA, AMATA) จะมีการเข้ามาลงทุนเกี่ยวกับ supply chain เข้ามาต่อเนื่องตามผู้ผลิตรถยนต์ EV และ SJWD ที่จะมีการรับงานให้บริการด้านโลจิสติกส์สำหรับรถ EV เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นไม่เกิน 10% มาจากบริการโลจิสติกส์ขนส่งรถยนต์ ขณะที่ทั้งกลุ่มนิคมฯ และ SJWD จะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านสงครามการค้ามากกว่า