คาดดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวลงต่อ หลังมีประกาศ “ยุบสภาฯ” ออกมา แม้ว่าตลาดจะพอรับรู้เรื่องนี้ไปบ้างแล้วก็ตาม ขณะที่ปัญหาไทย-กัมพูชา ยังมีอยู่ โดยมีแนวรับสำคัญ 1250 และ 1242 จุด ตามลำดับ
ปัจจัยในประเทศ
• ทิศทางการเมืองไทย: กลับมามีความเสี่ยง หลัง “ยุบสภาฯ” การเลือกตั้ง ตามกำหนด จะอยู่ในช่วงปลายเดือน ม.ค. ..... เรามองว่า แม้ว่า คุณอนุทิน จะเกริ่นขู่)เรื่องนี้ไว้บ้างแล้ว แต่เรายังมองว่า การเลือกตั้งที่เร็วขึ้น 1 เดือน อาจถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอน ว่าผลเลือกตั้งจะออกมาในทางใด จะเกิดสูญญากาศทางการเมือง หุ้นที่จะได้รับผลกระทบ หลักๆ จะเป็นหุ้นที่รับผลบวกมาตรการเศรษฐกิจ (อาทิ โครงการแจกเงิน และ TISA) รวมไปถึงหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ หรือ รับงานภาครัฐฯ ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์มีค่อนข้างน้อย อาจเป็นกลุ่ม defensive หรือหุ้นที่เป็นกลุ่ม High Dividend (หุ้นธนาคาร)
• ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา: สถานการณ์พื้นที่ชายแดนยังรุนแรง ผู้นำทั้งสองฝ่ายไทย-กัมพูชามีแนวโน้มใช้นโยบายอิงชาตินิยมเป็นหลัก ซึ่งเป็นผลดีต่อคะแนนนิยม โดยเฉพาะไทยที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า แต่เป็นผลเสียกับประชาชนในพื้นที่ และความเชื่อมั่นนักลงทุน รวมถึงอาจเสียอำนาจต่อรองทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้
• Fund Flow/เงินบาท: วานนี้ 11ธ.ค. นักลงทุนต่างชาติ ในตลาดหุ้นไทย (SET+MAI) ขายสุทธิ 890.73 ล้านบาท, สำหรับข้อมูลในตลาดตราสารหนี้ ซื้อสุทธิ 2,345 ล้านบาท, ด้านค่าเงินบาทปิด ที่ระดับ 31.78 บาท/ดอลลาร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield) อายุ 5 ปี ของไทย ปรับตัวลดลงมาปิดที่ 1.33% สอดคล้องกับการที่ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% การเคลื่อนไหวของเงินบาทเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาทองคำตลาดโลก และได้รับผลกระทบจากแรงขายดอลลาร์หลังจากเฟดลดดอกเบี้ย
ปัจจัยต่างประเทศ:
• รัสเซีย-ยูเครน : ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เพิ่มแรงกดดันให้ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ยอมรับแผนสันติภาพ โดยทำเนียบขาวมีรายงานว่าได้ยื่นคำขาดให้เซเลนสกีลงนามในข้อตกลงสันติภาพภายในวันคริสต์มาส
• FOMC : ตลาดการเงินตอบรับในเชิงบวกในตอนแรก โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.7% เข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนกลับมาซบเซาอย่างรวดเร็วหลังผลประกอบการของ Oracle สร้างความกังวลต่อมูลค่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
• ภาษีการค้า: เม็กซิโกอนุมัติการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเอเชีย (โดยเฉพาะจีน) สูงถึง 50% เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในและเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯ หวังลดแรงกดดันจากรัฐบาลทรัมป์ที่จะตั้งกำแพงภาษีใส่เม็กซิโก .... มีผลกระทบกับไทยแบบจำกัด (เม็กซิโกเป็นตลาดส่งออกลำดับรองของไทย ซึ่งมีส่งออกประมาณ $600 ล้านต่อเดือน สัดส่วนประมาณ 1-2% ของยอดส่งออกรวม)
• น้ำมันดิบ: เวเนซุเอลาลดราคาน้ำมันดิบลงเพื่อแย่งชิงตลาดในเอเชียเนื่องจากถูกตีตลาดโดยน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียและอิหร่าน ประกอบกับความเสี่ยงจากการปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ทำให้ค่าขนส่งแพงขึ้น
ปัจจัยสัปดาห์หน้า
• การประชุมกนง. ครั้งสุดท้ายของปีนี้ จัดขึ้นในวันที่ 17 ธ.ค. ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการจะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ จากผลกระทบของน้ำท่วมช่วงที่ผ่านมาฉุดเศรษฐกิจ ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนด้วยเช่นกัน
• ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 18-19 ธ.ค. นี้ จากการที่รัฐบาลปัจจุบันมีท่าทีสนับสนุน และตัวเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น เงินเฟ้อ และค่าจ้างปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
• สุดสัปดาห์ 19 ธ.ค. FTSE SET Index Series Semi-Annual Review จะมีการทำ Rebalance โดยนำหุ้น THAI เข้าคำนวณ FTSE SET Large-Cap Index และดึง AWC ไปไว้ที่ FTSE SET Mid-Cap Index เราประเมินว่า นอกจากหุ้นเข้า-ออก ในแต่ละ class ของ FTSE จะเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ แต่อาจทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่ ที่อิง FTSE SET Index ขยับตัวตามในด้วยในสัปดาห์ที่จะมีการทำ rebalance
Strategy
• ดัชนีฯ ยังมีความเสี่ยงจากการปรับฐาน ลงไปต่ำกว่า 1250 จุด จากความกังวลหลักๆ คือ การยุบสภาฯ
• หุ้นกลุ่มธนาคาร แม้จะลบต่อการลดดอกเบี้ย และปรับตัวลงตามความเสี่ยงของตลาดที่เพิ่มขึ้น แต่ด้วยความที่กำไรดี เงินปันผลสูง จึงยังเป็นกลุ่มที่นักลงทุนดูว่า “ปลอดภัย”
• ภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้กลยุทธ์ื้อหุ้นปันผลสูงมักจะถูกใช้เพื่อหลบความผันผวน และเข้าสู่ฤดูกาลของการเก็บหุ้นเพื่อรับเงินปันผล เราแนะนำ PTTEP, ADVANC*, SAT, PTT*, SCB, KTB
• หุ้นในพอร์ตแนะนำ: เรานำ CPALL ออก หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย TTB (10%), PTTEP(10%), ADVANC*(10%), SCB(10
Technical : BH, CKP
News Flash:
( + ) CENTEL (ซื้อ/เป้า 36.00 บาท) 4Q25 QTD RevPAR โตดี +15% YoY จากมัลดีฟส์และไทยช่วยหนุน
( 0 ) BEM (ซื้อ/เป้า 9.00 บาท) ผู้ใช้บริการ พ.ย. 2025 ขยายตัว MoM ตามปัจจัยฤดูกาล แต่ชะลอเล็กน้อย YoY
Company Update:
( + ) TFM (ซื้อ/เป้า 7.30 บาท) แนวโน้มปี 2026E โตจากการขยายตลาดเชิงรุกต่อเนื่อง
( - ) SAPPE (ถือ/ปรับเป้าลงเป็น 34.00 บาท) 4Q25E กำไรยังชะลอตัวจากรายได้ต่างประเทศที่ชะลอตัว