SET Outlook
• คาดดัชนีฯ ปรับตัวลง กังวลตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ สหรัฐฯยังแรงต่อกับจีน และวันสุดท้ายก่อนหยุดยาว
• ตลาดหุ้นไทย พลิกกลับมาบวก แต่เนื่องจากตลาดไทยจะหยุดยาว และมีความกังวลเพิ่มขึ้นทั้งในเรื่องตลาดพันธยัตรสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ขยับภาษีเก็บจีนเพิ่มเป็น 145% จึงน่าจะมีการขายทำกำไรออกมาให้เห็นในวันนี้
• ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ อาจกลายเป็นตัวแปรในทางลบหลักของตลาดในวันนี้ หลังเกิดการเทขายพันธบัตรมาตั้งแต่ Trump ประกาศ Reciprocal Tariff (2 เม.ย.) เพราะกลัวเศรษฐกิจถูกกระทบ ดอลล่าร์ตก หุ้นธนาคารเจ็บ และแรงขายจากนักลงทุนที่ทำ Basis Trade ในตลาดพันธบัตร .... Bond Yield 30 ปีของสหรัฐฯ กระชากขึ้นมาอีกครั้งปิดที่ 4.95% หรือสูงขึ้นหลังรับรู้เรื่องภาษีถึง 0.50% ..... ปัญหาของตลาดพันธบัตรจะลามไปประเทศอื่น และจะทำให้เกิดความกังวลในเรื่องสภาพคล่องในตลาดเงิน เราประเมิน Fed อาจเข้ามาดูแล (ลดดอกเบี้ย+ซื้อพันธบัตร+ปล่อยกู้เพิ่ม) ใน 1-2 วันนี้ เพื่อลดแรงกระเพื่อมของตลาด
• การที่สหรัฐฯ ชะลอการขึ้นภาษี เป็นเวลา 90 วัน กลายเป็นข่าวบวก ที่จะพลิกตลาดหุ้นทั่วโลก และจุด peak สุดของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ น่าจะผ่านไปแล้วด้วย ถ้าเทียบกับ Subprime ปี 2007-2008 จะคล้ายๆกัน(วิธีแก้) จากนี้ คาดว่า จะเป็นการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีน เป็นหลัก ส่วนประเทศอื่นๆ น่าจะเป็นลักษณะของการรอมชอมกันมากกว่า สรุปคือ เมื่อผ่าน 90 วันไปแล้ว ไม่น่าจะกลับมารุนแรงแบบนี้อีก
• จีนเตรียมประชุมหารือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อตอบสนองต่อมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บกับจีน 145% (10+10+34+50+41) โดยในการประชุมจะมุ่งเน้นไปที่การออกมาตรช่วงเหลืออสังหาฯ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และมาตรการในนวัฒกรรมเทคโนโลยี .... จีนถูกกดดันอย่างหนัก ทั้งจากสหรัฐฯ และสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ คาดว่าอาจได้เห็นมาตรการใหญ่ๆ ที่เป็นตัวดันเศรษฐกิจจีนออกมาในเร็วๆ นี้
• รมว.พาณิชย์ “พิชัย” ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ยืนยันจุดยืนร่วมสร้างหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ พร้อมตั้งคณะทำงาน ASEAN Geoeconomics Task Force ติดตามนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ส่วนไทยเตรียมเจรจาลึกกับ USTR ซึ่งได้ตอบรับคำขอแล้ว รอเพียงกำหนดวัน
• รมว.คลังยืนยันจะยกเลิกมาตรการชั่วคราวตลาดหุ้น เช่น การห้ามชอร์ตเซลล์ หลังสงกรานต์(16) ชี้ไม่เอาชอร์ตเซลล์ออกถาวร เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการลงทุนอย่างมีมาตรฐาน ช่วยบริหารพอร์ตได้
• สัปดาห์หน้า มีหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย “XD” ทั้งหมด 20 หลักทรัพย์ อาทิ SCB, KTB, KBANK, KTC, STA, STGT เป็นต้น ควรระวังแรงขายหุ้นทั้งก่อนและหลัง “XD” …. หากราคาหุ้นเหล่านี้ ปรับตัวลงเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายออกมารอบนี้ จะมีผลต่อ SET Index ราว -6.2 จุด
• Event วันนี้ : PPI สหรัฐฯ
Strategy
• ดัชนีฯ กลับขึ้นมาแรง เหลือระยะห่างจากวันก่อนที่ Trump ประกาศ “Receiprocal Tariff” ที่ 1172 จุด คือ ราว 35 จุด และวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายก่อนหยุดยาว ตลาดอาจไปไม่ได้แรง กลยุทธ์ ยังเป็นซื้อ แต่ควรเลือกหุ้นที่อิงดัชนีฯ หรือหุ้นที่ราคาลงมามาก และมีสัญญาณไปต่อ
• หุ้นที่คาดว่า จะปรับตัวขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่นๆ คือหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มาก่อนหน้านี้ ได้แก่ กลุ่มนิคมฯ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ MTC*, LH*, SIRI, PTTEP ออก และคงหุ้นที่เหลือไว้ หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย WHA(20%), CBG(10%), KBANK(10%), SCB(10%)
Technical : IVL, NCAP
News Comment:
( + ) SJWD (ซื้อ/เป้า 10.30) คว้างานใหม่ 2 รายในเวียดนามกว่า 450 ลบ.ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร
( + ) STECON (ซื้อ/เป้า 7.00 บาท) ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ รฟท. จ่ายค่างานส่วนเพิ่มสายสีแดงให้ STECON-UNIQ 4.2 พัน ลบ. พร้อมดอกเบี้ย
( - ) CENTEL (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) RevPAR 1Q25 เพิ่มขึ้นแบบชะลอตัวลงจากมัลดีฟส์เป็นหลัก
News Flash:
( - ) BEM (ซื้อ/เป้า 10.00 บาท) ผู้ใช้บริการ มี.ค. 2025 ชะลอจากปิดเทอมและแผ่นดินไหว แต่แนวโน้มกำไร 1Q25E ยังใกล้เคียงคาด
Company Update:
( + ) CPALL (ซื้อ/เป้า 86.00 บาท) คาดกำไร 1Q25E เติบโตได้ดี YoY จาก RTE หนุน SSSG และ GPM ขยายตัว
( 0 ) SAV (ซื้อ/ปรับเป้าลงเป็น 21.00 บาท) 1Q25E ดีต่อทำ new high, แต่ต้องจับตาความเสี่ยงการท่องเที่ยว