SET Outlook
• คาดดัชนีฯ แกว่งกรอบแคบ ท่ามกลางแรงซื้อหุ้นกลับของนักลงทุน งบธนาคารคาดจะส่งครบภายในต้นสัปดาห์หน้า
• ตลาดหุ้นไทย เตรียมพร้อมรับกลุ่มธนาคารที่จะประกาศงบแล้วคาดจันทร์นี้(21) คาดนักลงทุนลุยซื้อกลับ หลังหุ้นธนาคารหลายตัวปรับตัวลงจากการขึ้นเครื่องหมาย “XD” ไปแล้ว เรามองกลุ่มธนาคารยังคงเป็นกลุ่มหลักที่ดันตลาดหุ้นไทยต่อไป ขณะที่การเจรจาการค้าของสหรัฐฯ นั้น ยังคงทำให้ตลาดหุ้นผันผวน โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ถูกมองว่าภาษีที่สูงขึ้น กระทบต่อเศรฐกิจสหรัฐฯเอง
• ปัจจัยต่างประเทศต้องติดตาม คือ การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ – จีน ยุโรป หรือทั้ง 57 ประเทศ ที่ขอเข้าร่วมเจรจา แต่จะเป็นลักณะของการรอมชอมกันมากกว่า และยังคงต้องเฝ้าระวังในความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอีกได้ .... จุด peak สุดของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ผ่านไปแล้วในสัปดาห์ก่อน คาดว่า 90 วันหลังจากนี้ที่ประกาศระงับภาษีตอบโต้ไปก่อนนั้น ไม่น่าจะกลับมารุนแรงแล้ว
• ธปท. ประเมินผลกระทบจากภาษี Trump ต่อเศรษฐกิจไทย โดยมองว่าอุตสาหกรรมส่งออกที่เกี่ยวข้อง มีน้ำหนักต่อการส่งออก ราว 18.3% และจะมีผลต่อ GDP ของไทย 2.2% ซึ่ง 5 ช่องทางหลักส่งผลต่อไทย คือ ตลาดการเงิน การลงทุน การส่งออก การแข่งขัน และภาวะเศรษฐกิจโลก โดยคาดผลกระทบจะชัดเจนขึ้นครึ่งปีหลัง GDP ปีนี้ อาจไม่ถึง 2.5% แนะรัฐบาลควรเร่งเจรจารับมือระยะสั้น พร้อมปรับโครงสร้างในระยะยาวเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน … การปรับลด GDP ของธปท. จะเป็นตัวจำกัดการสูงขึ้นของดัชนีฯ หรือนักลงทุนต่างประเทศจะชะลอการซื้อหุ้นไทย เม็ดเงินส่วนใหญ่จะเข้าไปยังตลาดพันธบัตรมากกว่า
• กลุ่มหุ้นธนาคารทยอยประกาศงบไตรมาส 1/68 แล้ว โดยล่าสุดวานนี้ TISCO ประกาศกำไรสุทธิ 1.64 พันล้านบาท (เราคาดการณ์ 1.61 พันล้านบาท) หดตัวราว 5% YoY และ BBL ประกาศกำไรสุทธิ 1.26 หมื่นล้านบาท โต 19.9% YoY (เราคาดการณ์ ที่ 1.10 หมื่นล้านบาท) โดยในวันนี้(18) จะมีการประกาศของ TTB โดยเราคาดการณ์กำไรสุทธิที่ 5.38 พันล้านบาท และในวันจันทร์(21) จะเป็น KBANK(คาดกำไรสุทธิ 1.30 หมื่นล้านบาท) , KKP(คาดกำไรสุทธิ 1.28 พันล้านบาท), KTB(คาดกำไรสุทธิ 1.16 หมื่นล้านบาท), SCB(คาดกำไรสุทธิ 1.14 หมื่นล้านบาท)
• นายกฯ เผย รมว.คลัง นำทีมไทยเจรจาระดับรัฐมนตรีสหรัฐ 23 เม.ย.นี้ หลังรมว.คลังได้ล่วงหน้าเดินทางไปก่อนแล้ววานนี้(17) และจะตามด้วยทีมรมว.พาณิชย์ที่จะตามไปสมทบในวันที่ 20 เม.ย. เพื่อเตรียมเจรจาการค้ากับทางสหรัฐ โดยคาดว่าไทยจะเสนอนำเข้า ก๊าซ LNG เพิ่มอีกกว่า 1 ล้านตันใน 5 ปี พร้อมพิจารณานำเข้าก๊าซอีเทน 4 แสนตันภายใน 4 ปี และวางแผนนำเข้ามาจำหน่ายต่อในภูมิภาค ส่วนภาเกษตรจะเน้นนำเข้าเครื่องในวัวสำหรับผลิตอาหารสัตว์ส่งออก
Strategy
• ยังยังมีแรงซื้อให้เห็น นำโดยหุ้นธนาคาร หลังขึ้น “XD” และพบว่า Dividend Yield ยังสูงติดอันดับต้นๆของตลาดหุ้นไทย กลยุทธ์ลงทุน ยังเป็นจังหวะซื้อต่อ ควรเลือกหุ้นตัวหลักๆของตลาด หรือหุ้นที่ราคาลงมามาก(จริงๆ)และมีสัญญาณไปต่อ รวมทั้งหุ้นที่เป็นกลุ่ม High Dividend Yield (SCB, TTB)
• หุ้นกลุ่มที่อิงกับหรือกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง แม้กลุ่มนิคมฯ + ชิ้นส่วนรถยนต์ จะเป็น 2 กลุ่มที่ได้ข่าวบวก แต่กลุ่มอื่นๆ ที่เหลือ ยังต้องรอคอยกันต่อไป ได้แก่ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว
• เราปรับ list หุ้น ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่จะซื้อหุ้นที่ราคาลงมาลึก ประกอบด้วย WHA*, SCGP, PTTEP, BGRIM, HANA*
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ DELTA* ออก และนำ SCB, GLOBAL* เข้ามาแทน หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย SCB(10%), GLOBAL*(10%), GULF(10%), MTC*(10%), TOP(10%), WHA*(20%), CBG(10%)
Technical : JMT, BA
Results Update:
( 0 ) BBL (ซื้อ/เป้า 186.00 บาท) 1Q25 ดีกว่าคาดจากกำไรจากเงินลงทุน แต่ NPL ปรับตัวเพิ่มขึ้น
( 0 ) TISCO (ถือ/เป้า 96.00 บาท) กำไร 1Q25 ลดลงทั้ง YoY/QoQ ตามคาด