SET Outlook
คาดว่าดัชนีฯ จะมีความผันผวนจากตัวแปรสำคัญทั้งในและต่างประเทศ ประเมินกรอบดัชนีฯ สัปดาห์นี้ไว้ที่ 1260-1290 จุด โดยตลาดกำลังรอความชัดเจนจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ สถานการณ์การเมืองในประเทศช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการตัดสินใจยุบสภา และความคืบหน้าการเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ปัจจัยในประเทศ
• กัมพูชา : ผลจากการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา วานนี้(7 ธ.ค.) วันนี้ นายกฯ เรียกประชุมหารือหน่วยงานความมั่นคง ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง .... เรามองข่าวนี้ มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยรวม และหุ้นที่มีธุรกิจอยู่ในประเทศกัมพูชา
• การเมืองไทย: การเปิดประชุมสมัยวิสามัญ 10-11 ธ.ค. นี้ถูกจับตามองว่าเป็นสัญญาณสุดท้ายก่อนการตัดสินใจยุบสภาของนายกฯ อนุทิน เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง ก่อนที่รัฐบาลอาจจะถูกยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจ ....... เราประเมินว่า หากมีสัญญาณว่าจะไม่มีการยุบสภาฯ (เช่น อภิปราย บน ม.152 หรือไม่ยื่นขออภิปราย) จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้น ซึ่้งน่าจะทราบผลในสัปดาห์นี้
• TISA: โครงการ TISA (Thailand Individual Saving Account) เตรียมเสนอที่ประชุม ครม. สัปดาห์นี้ มาตรการดังส่งผลบวกต่อการลงทุน นักลงทุนรายย่อยจะเข้ามาในตลาดมากขึ้น ดีต่อตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นผลประกอบการดี หุ้นปันผล เราคาดว่า หุ้นธนาคาร ที่จ่ายปันผลสูง จะได้อานิสงค์จาก TISA มากที่สุด
• ธปท. ออก 7 เกณฑ์คุมเข้มธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง หลักเกณฑ์ส่วนใหญ่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 69 สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่เช่าซื้อเพื่อใช้ส่วนตัว ใน 3 เรื่อง ได้แก่ การกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ และการให้ส่วนลดกรณีปิดบัญชีก่อนกำหนด เนื่องจากเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ถือปฏิบัติกันอยู่แล้วในปัจจุบัน
• FTSE SET Index Series Semi-Annual Review นำหุ้น THAI เข้าคำนวณ FTSE SET Large-Cap Index และดึง AWC ไปไว้ที่ FTSE SET Mid-Cap Index โดยจะใช้ราคาปิด 19 ธ.ค.68 เพื่อทำ rebalance เราประเมินว่า นอกจากหุ้นเข้า-ออก ในแต่ละ class ของ FTSE จะเคลื่อนไหวมากกว่าปกติ แต่อาจทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่ ที่อิง FTSE SET Index ขยับตัวตามในด้วยในสัปดาห์ที่จะมีการทำ rebalance
• Fund Flow/เงินบาท: นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย (SET+MAI) 1,420.18 ล้านบาท แต่ขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ 21 ล้านบาท ด้านค่าเงินบาทปิด ที่ระดับ 32.03 บาท/ดอลลาร์
ปัจจัยต่างประเทศ:
• การประชุม FOMC: จากการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์และข้อมูลจากตลาด Swap พบว่ามีความเป็นไปได้สูงกว่า 90% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 9-10 ธ.ค. นี้ โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลงมาอยู่ที่ 3.75% การตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อประคองตลาดแรงงานและป้องกันความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงรุนแรง แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อบางส่วนจะยังคงมีความไม่แน่นอนก็ตาม
• การประชุม BOJ: ตลาดกำลังเก็งผลการประชุมในวันที่ 19 ธ.ค. นี้ มีโอกาสมากถึง 91% ที่ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.75% และรัฐบาลญี่ปุ่นก็มีท่าทีสนับสนุนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยเช่นกัน ค่าเงินกลับมาแข็งค่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดญี่ปุ่นเริ่มดีขึ้น
• ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์: การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ความตึงเครียดสหรัฐฯ -เวเนซุเอลา รวมถึงความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดทั่วโลก รวมถึงราคา Commodity แม้ตอนนี้ตลาดจะหันไปสนใจเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการลดดอกเบี้ยของ Fed มากกว่าก็ตาม
• ความขัดแย้งจีน-ญี่ปุ่น : นายกฯ Takaichi ยืนยันต่อรัฐสภาฯของญี่ปุ่น ว่าจุดยืนของญี่ปุ่นต่อไต้หวันยังคงเหมือนเดิมตามแถลงการณ์ปี 1972 ซึ่งญี่ปุ่น "เข้าใจและเคารพ" มุมมองของจีนที่ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ไม่ได้ตกลงอย่างชัดแจ้งกับหลักการ "จีนเดียว" (One China principle)
ตัวเลขเศรษฐกิจและ Event
• • 8 ธ.ค.: US-Core PCE Price Index
• 8 ธ.ค.: US-PPI Final Demand
• 8 ธ.ค.: US-New Home Sales
• 9 ธ.ค.: US-JOLTS Job Openings Rate
• 10 ธ.ค.: CH-PPI YoY
• 10 ธ.ค.: US-FOMC Rate Decision
• 11 ธ.ค.: US-Initial Jobless Claim
Strategy
• วันก่อน(4 ธ.ค.) ตลาดยังไม่เลือกทางเดิน เพราะรอปัจจัยหลักอย่างน้อย 3 ตัว คือ การเมืองในประเทศ การเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และผลประชุม FOMC จะมีความชัดเจน แต่วันนี้ สถานการณ์แนวชายแดน อาจกดดันตลาดหุ้น โดยเฉพาะถ้าเริ่มมีการใช้กำลังทางทหารเต็มรูปแบบ (หากเกิดแบบนี้ ควรลดการถือหุ้นลง)
• กลยุทธ์: ตลาดจะผันผวน ตามผลของตัวแปรแต่ละตัวที่ออกมา เราแนะนำถือหุ้นรอ หรือ trading ช่วงสั้นๆ จนว่าตลาดจะมีสัญญาณซื้ออีกครั้ง (น่าจะพอรู้ได้ในสัปดาห์นี้)
• เข้าสู่ฤดูกาลของการเก็บหุ้นเพื่อรับเงินปันผล เราแนะนำ PTTEP, ADVANC, SAT, PTT, SCB, KTB
• หุ้นในพอร์ตแนะนำ: เรานำ AOT ออก และนำ TTB เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย TTB (10%), PTTEP(10%), ADVANC(10%), DELTA*(10%), CPALL*(10%), SCB(10%)
Technical : ITC, GUNKUL
Technical : ITC, GUNKUL
News Comment:
( 0 ) Bank (Overweight) ธปท. ขยายเวลาอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับบัตรเครดิตไว้ที่เดิมที่ 8% ถึงปี 26
( 0 ) Ground Transport (Neutral) รมว.คมนาคม เตรียมเสนอ ครม. อนุมัติหลักการ Single Ownership เปิดทางซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า
Company Update:
( + ) SAV (ซื้อ/เป้า 18.00 บาท) กำไร 4Q25E มีลุ้น new high จากเที่ยวบิน Overflight เพิ่มขึ้นมาก
( 0 ) PTTEP (ซื้อ/ปรับเป้าลงเป็น 120.00 บาท) Investment plan ใหม่ตั้งเป้าปริมาณขายสูงขึ้นแต่มีความไม่แน่นอน