หลายคนอาจจะเคยเห็นรายชื่อบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Apple, Microsoft หรือ Amazon แล้วคิดว่านั่นคือบริษัทที่ทำผลตอบแทนดีที่สุดสำหรับนักลงทุน แต่รู้หรือไม่ว่า “ขนาดบริษัทวันนี้” กับ “ผลตอบแทนในระยะยาว” ไม่จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป!
การรู้ว่า “บริษัทไหนทำผลตอบแทนสูงสุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น” ช่วยให้เราเข้าใจว่า อะไรคือปัจจัยที่ผลักดันความมั่งคั่งในระยะยาว และอะไรที่ทำให้บริษัทจาก “ร้านเล็กๆ” กลายเป็น “ยักษ์ใหญ่ของประเทศ” ได้ในที่สุด เราลองมาทำความรู้จัก 10 บริษัทที่ทำผลตอบแทนสะสมสูงที่สุดในตลาด ณ เวลานี้ พร้อมวิเคราะห์ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้กัน
ผลตอบแทนสะสม: +1,036,519% | เฉลี่ย 23.39% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1981)
Home Depot เริ่มจากร้านขายวัสดุก่อสร้างเล็ก ๆ ในจอร์เจีย สู่การเป็นเครือข่ายค้าปลีกด้าน DIY และของแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา จุดเด่นคือการตอบโจทย์คนอเมริกันยุค 80–90 ที่นิยมซ่อมบ้านด้วยตัวเอง และการขยายสาขาแบบ Aggressive ทั่วประเทศ ในยุคหลังบริษัทเน้นเทคโนโลยีและบริการที่รวดเร็วเพื่อแข่งกับ e-Commerce
ปัจจัยสนับสนุน: ฐานลูกค้ามั่นคง, โมเดล DIY ที่คนอเมริกันนิยม, การจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
ความเสี่ยง: การชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัย, ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย
2. Walmart (WMT)
ผลตอบแทนสะสม: +544,159% | เฉลี่ย 16.93% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1970)
จากร้านค้าเล็กในอาร์คันซอว์ (Arkansas) Walmart เติบโตด้วยกลยุทธ์ “ขายของถูก” ควบคู่กับการสร้าง Supply Chain ที่มีประสิทธิภาพสูง และขยายสาขาไปทั่วสหรัฐฯ ปัจจุบัน Walmart เป็นค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และแม้จะถูกดิสรัปต์จาก Amazon ก็ยังรักษาส่วนแบ่งผ่านช่องทาง Omni-channel ไว้ได้
ปัจจัยสนับสนุน: กำลังซื้อของผู้บริโภคระดับล่าง-กลาง, Logistic ที่แข็งแกร่ง
ความเสี่ยง: อัตรากำไรต่ำ, การแข่งขันด้านราคาในยุค e-Commerce
3. Microsoft (MSFT)
ผลตอบแทนสะสม: +524,529% | เฉลี่ย 24.56% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1986)
Microsoft จากผู้สร้างระบบปฏิบัติการ Windows สู่เจ้าตลาด Software และ Cloud ในยุคใหม่ การพลิกโฉมบริษัทในยุคของ CEO Satya Nadella โดยเน้น Subscription (Office 365), Cloud (Azure), และ AI (ผ่าน OpenAI) ช่วยเพิ่มรายได้ต่อเนื่อง พร้อมรักษาอัตรากำไรสูงระดับ 30–40%
ปัจจัยสนับสนุน: เติบโตตาม Demand ของ SaaS, Cloud, AI และ Network Effect ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความเสี่ยง: การแข่งขันจาก Big Tech, ความเสี่ยงด้านกฎหมายผูกขาด
4. Stryker Corporation (SYK)
ผลตอบแทนสะสม: +464,675% | เฉลี่ย 20.15% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1979)
Stryker เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์รายใหญ่ ทั้งข้อต่อเทียม, เตียงคนไข้, เครื่องมือผ่าตัด และหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด บริษัทเติบโตจากกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลที่ต้องการนวัตกรรมเฉพาะทาง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่ใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงที่สุดในโลก
ปัจจัยสนับสนุน: แนวโน้มผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น (Aging Population), Innovation ด้าน Medical Device
ความเสี่ยง: ขึ้นกับระบบอนุมัติของ FDA, Margin ถูกบีบจากต้นทุน R&D
5. Texas Pacific Land (TPL)
ผลตอบแทนสะสม: +459,360% | เฉลี่ย 21.67% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1982)
TPL คือเจ้าของที่ดินมหาศาลในรัฐเท็กซัส โดยรายได้หลักมาจาก “ค่าเช่า” และ “ส่วนแบ่งรายได้” จากบริษัทน้ำมันที่ขุดเจาะในพื้นที่ของตนเอง เป็นหุ้นที่ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่โตตามราคาน้ำมันและการใช้งานขุด Shale Oil ใน Permian Basin โดยตรง
ปัจจัยสนับสนุน: รายได้แบบสม่ำเสมอ โดยมีอัตรากำไรสูง, ไม่มีต้นทุนการผลิต
ความเสี่ยง: ทิศทางกำไรขึ้นกับราคาน้ำมันโดยตรง, โมเดลธุรกิจขยายตัวยาก
6. Progressive Corporation (PGR)
ผลตอบแทนสะสม: +458,541% | เฉลี่ย 16.90% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1971)
Progressive เป็นบริษัทประกันรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นอาวุธในการประเมินความเสี่ยง (Telematics) และให้บริการผ่านช่องทาง Direct อย่างแอปหรือเว็บ จุดเด่นคือกำหนดราคาเบี้ยได้ใกล้เคียงกับความเสี่ยงจริงมากกว่าคู่แข่งทั่วไป ทำให้อัตรากำไรสูงและขยายส่วนแบ่งตลาดได้ต่อเนื่อง
ปัจจัยสนับสนุน: Pricing algorithm, Tech-driven Insurance, Customer Acquisition ต่ำ
ความเสี่ยง: ความเสี่ยงจากภัยพิบัติ, ความผันผวนของเคลม และคู่แข่งรายใหม่จาก InsurTech
7. NVIDIA Corporation (NVDA)
ผลตอบแทนสะสม: +391,623% | เฉลี่ย 37.46% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1999)
Nvidia คือหนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเริ่มจากการผลิต GPU สำหรับเล่นเกม แล้วบังเอิญกลายเป็นหัวใจของ AI ยุคใหม่ ความได้เปรียบของ Nvidia อยู่ที่ Hardware + Software (CUDA) ทำให้ลูกค้าสร้างโมเดล AI ได้เร็วและมีประสิทธิภาพกว่าทางเลือกอื่น
ปัจจัยสนับสนุน: AI/LLM, Cloud, Data Center, High-margin chips
ความเสี่ยง: ความผันผวนของ Demand จาก Big Tech และนโยบายด้านการส่งออก
8. Southwest Airlines (LUV)
ผลตอบแทนสะสม: +384,941% | เฉลี่ย 16.52% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1971)
สายการบินต้นทุนต่ำรายแรกของอเมริกา Southwest ใช้กลยุทธ์ “บริการน้อย-ต้นทุนต่ำ-ราคาถูก” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เครื่องบินรุ่นเดียว (Boeing 737) ลดค่าใช้จ่ายและทำกำไรได้แม้อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำไรบางมาก
ปัจจัยสนับสนุน: มีความเชี่ยวชาญบริหารต้นทุนได้ดี ต้นทุนต่ำ, ลูกค้าใช้งานซ้ำมี Brand Loyalty
ความเสี่ยง: ราคาน้ำมัน, ความเสี่ยงจากโรคระบาดและความไม่แน่นอนอื่น ๆ ที่กระทบการเดินทาง
9. Oracle Corporation (ORCL)
ผลตอบแทนสะสม: +384,803% | เฉลี่ย 23.58% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1986)
Oracle เป็นเจ้าตลาดระบบฐานข้อมูลสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ และกำลังปรับตัวเข้าสู่ Cloud Infrastructure ผ่าน OCI และระบบ Health Data หลังซื้อ Cerner จุดแข็งคือรายได้สม่ำเสมอจากองค์กรขนาดใหญ่
ปัจจัยสนับสนุน: มี Switching cost สูง, การขยายเข้าสู่ Cloud Healthcare
ความเสี่ยง: คู่แข่งด้าน Cloud อื่น ๆ ที่มีความคล่องตัวสูงกว่า, ลูกค้าเก่าเริ่มลดการใช้งาน
10. CACI International (CACI)
ผลตอบแทนสะสม: +373,271% | เฉลี่ย 20.06% ต่อปี (ตั้งแต่ปี 1980)
CACI คือบริษัทเทคโนโลยีที่ทำงานกับรัฐบาลสหรัฐฯ ด้านข่าวกรอง, Cybersecurity และระบบการทหาร ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและการมีสัญญาระยะยาวกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ทำให้รายได้ค่อนข้างมั่นคง แม้จะไม่โตเร็วแบบ Tech เชิงพาณิชย์
ปัจจัยสนับสนุน: งบกลาโหมสหรัฐ, ความสามารถเฉพาะด้าน Defense & Intelligence
ความเสี่ยง: ขึ้นกับนโยบายรัฐบาล, โอกาสเติบโตจำกัด
Source : TradingView as of 22 Jul 25
Disclaimer : ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจในลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน