ช่วงเวลาปลายปีแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นโค้งสุดท้ายของการวางแผนภาษีสำหรับผู้เสียภาษีทุกคน ซึ่งหากใครยังไม่ได้ใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีให้ครบถ้วน ช่วงเวลาที่เหลือนี้ก็ยังสามารถวางแผนหาวิธีลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 2566 ได้มีทางเลือกการลงทุนใหม่ที่น่าสนใจเพิ่มเข้ามา คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ กองทุน ThaiESG ที่เกิดจากความร่วมมือกันของภาครัฐและตลาดทุน ที่ต้องการผลักดันและส่งเสริมเรื่องความยั่งยืนของประเทศผ่านการลงทุนในไทย 

Thailand ESG Fund (ThaiESG) หรือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน เป็นกองทุนลดหย่อนภาษี ที่มีลักษณะเด่นแตกต่างจากกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีประเภทอื่น โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทยที่ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนตามหลัก ESG ซึ่งประกอบด้วย มิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) ​และบรรษัทภิบาล (Governance) อาทิ หุ้นไทยยั่งยืน SET ESG Ratings หรือตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน ESG Bond 

 

สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ ThaiESG 

• ไม่กำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อหน่วยลงทุน และไม่กำหนดเงื่อนไขการซื้อต่อเนื่อง
• เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของ ThaiESG บุคคลธรรมดา หักลดหย่อนภาษีเงินได้จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุน ThaiESG ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท/คน/ปี (ไม่รวมวงเงินกลุ่มเกษียณที่รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท)

เงื่อนไขการถือครองหน่วยลงทุน ThaiESG  

(สำหรับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุน ThaiESG ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2569)  

• ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อถือครองมาแล้วไม่น้อยกว่าระยะเวลาตามที่กรมสรรพากรกำหนด 
  (5 ปี นับจากวันที่ลงทุน – วันชนวัน)
• กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ThaiESG – เงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนที่เป็นไปตามเงื่อนไข จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่กรมสรรพากรกำหนด
• ระยะเวลาในการลดหย่อนภาษีของหน่วยลงทุน ThaiESG – ผู้ลงทุนสามารถหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุน ThaiESG ได้ตามจำนวนที่ซื้อทุกปีจนถึงปีพ.ศ. 2569 (กระทรวงการคลังจะพิจารณาต่ออายุโครงการในภายหลัง)
• ไม่ลืมแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษี ต่อบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) ที่ผู้ลงทุนได้ซื้อหน่วยลงทุนด้วย (สำหรับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุน ThaiESG เฉพาะในปี 2566 ต้องถือครองอย่างน้อย 8 ปี (นับวันชนวัน)) 

สำหรับกองทุน ThaiESG ตอนนี้มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ทั้งกองทุนตราสารทุน กองทุนผสม และกองทุนตราสารหนี้ ด้านรูปแบบการลงทุนที่มีทั้งกองทุนที่บริหารแบบเชิงรับ (Passive) และที่บริหารแบบเชิงรุก (Active) ส่วนในด้านนโยบายการจ่ายเงินปันผลก็มีให้เลือกทั้งกองทุนที่จ่ายและไม่จ่ายปันผล  

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือการลงทุนสำหรับลดหย่อนภาษีอื่นๆ อีกที่ทุกคนคุ้นเคย คือ กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) เน้นการลงทุนระยะยาว  

• ต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ 
• สามารถซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับค่าลดหย่อนการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท 

 กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF) กองทุนส่งเสริมการออมเงินไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ  

• สามารถซื้อหน่วยลงทุนใน กองทุน RMF เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับ กองทุน SSF และการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ
• ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และ
• ขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ โดยผู้ลงทุนต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี (หรืออย่างน้อยซื้อปีเว้นปี) 

 
สุดท้ายนี้ผู้ลงทุนควรพิจารณา นโยบายการลงทุน ระดับความเสี่ยง ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ค่าธรรมเนียม รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ และให้มั่นใจว่าวางแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมาย รวมถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง 

คำเตือน : เงื่อนไขลดหย่อนภาษีเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมดังกล่าว และควรทําความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน