ในเดือนกันยายนตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะมีความผันผวนที่สูง เนื่องจากหลายปัจจัยที่เข้ามามีบทบาท เช่น การประกาศนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และสถานกาณ์ทางการเมือง
เหตุผลที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด:
- ปัจจัยทางเศรษฐกิจ: ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับตลาดแรงงาน และใช้เป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซี่งในช่วงที่ผ่านมาตลาดผันผวนจากตัวเลขภาคแรงงานที่ส่งสัญญาณอ่อนแอลง เช่น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ออกมาต่ำกว่าที่คาด และตัวเลขการขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจชะลอตัวลงแรงหรือเกิด Recession ในระยะต่อไปหรือไม่
- ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง: จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางที่เข้าสู่วัฐจักรดอกเบี้ยขาลง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เพิ่มแรงกดดันต่อตลาด หากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆที่อาจไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์
- ปัจจัยทางการเมือง: ตลาดกำลังจับตามองการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง Kamala Harris และ Donald Trump ในกรณีที่ Donald Trump กลับมามีคะแนนนำในผลการสำรวจ (poll) ก่อนการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ตลาดอาจผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน จากนโยบายทางการค้าระหว่างประเทศที่จะมีการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Tariff) ต่อสินค้าจีนที่สูงขึ้น
ดังนั้น การลงทุนในภาวะตลาดผันผวนในเดือนกันยายนจึงเป็นหัวข้อที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในการเตรียมตัวและปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น
กลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุน:
- การกระจายการลงทุน (Diversification):
การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการที่ตลาดผันผวน โดยการไม่พึ่งพาสินทรัพย์ชนิดเดียวที่อาจมีความเสี่ยงสูงในช่วงตลาดผันผวน
- การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย (Safe-Haven Assets):
ในช่วงที่ตลาดผันผวน นักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย เช่น ทองคำ เงินสด หรือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งมักจะมีความเสี่ยงต่ำและสามารถป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
- การใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง (Hedging):
กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงเช่นการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือการลงทุนในกองทุน ETF ที่เน้นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย อาจช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดได้
- การปรับพอร์ตการลงทุน (Portfolio Rebalancing):
การปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์เป็นสิ่งสำคัญในช่วงตลาดผันผวน เช่น การลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ การทำเช่นนี้จะช่วยรักษาความสมดุลของพอร์ตการลงทุนและลดผลกระทบจากความผันผวน
- การติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ตลาด:
นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและการวิเคราะห์ตลาดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการประกาศนโยบายการเงินของธนาคารกลางและผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันท่วงที
- การถือเงินสดบางส่วน:
ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน การถือเงินสดบางส่วนอาจเป็นกลยุทธ์ที่ดี เพื่อรอจังหวะในการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ราคาลดลง นอกจากนี้ยังช่วยให้นักลงทุนมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์