เรายังคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” โดยเราคาดกำไรสุทธิรวม 2Q25E ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท (-2% YoY, -10% QoQ) โดยลดลง YoY/QoQ จาก NIM และกำไรจากเงินลงทุนที่ลดลงเป็นหลัก โดยธนาคารที่เติบโตได้ดี YoY/QoQ คือ มีเพียง KKP (+43% YoY, +4% QoQ จากผลขาดทุนรถยึดและสำรองฯที่ลดลง เพราะได้ผลดีจากโครงการคุณสู้เราช่วยช่วยหนุน ขณะที่ธนาคารที่ลดลง YoY, QoQ คือ BBL (-2% YoY, -8% QoQ), KBANK (-6% YoY, -14% QoQ), KTB (-2% YoY, -6% QoQ) และ TTB (-8% YoY, -3% QoQ) เพราะมี NIM และกำไรจากเงินลงทุนที่ลดลง ด้านสินเชื่อ 2Q25E ลดลง (-0.8% YoY, -0.2% QoQ, -1.2% YTD) จากสินเชื่อรายใหญ่และ SME ส่วน NPL รวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.18% จาก 1Q25 ที่ 3.17% แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้

เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารปี 2025E/2026E อยู่ที่ 2.11 แสนล้านบาท/2.17 แสนล้านบาท ลดลง -2% YoY/แต่เพิ่มขึ้น +3% YoY จาก NIM ที่ลดลง/และจากสำรองฯที่ลดลง ตามลำดับ ขณะที่ DAOL คาด กนง. จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้งที่ 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% ในปี 2H25E ซึ่งเรารวมผลกระทบในประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารไปเรียบร้อยแล้ว

กลุ่มธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้น +19% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวนทำให้มีการโยกเงินเข้ามาในหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูง โดยอัตราเงินปันผลเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 7% สูงกว่าอัตราปันผลเฉลี่ยของตลาดหุ้นที่ 3% ประกอบกับ valuation ยังไม่แพง โดยซื้อขายที่ระดับเพียง 0.62x PBV (-1.25SD below 10-yr average PBV) โดยเราเลือก KTB (ซื้อ/เป้า 25.00 บาท) เป็น Top pick เพราะภาพรวมของ NPL และสำรองฯมีแนวโน้มที่ดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นการปล่อยสินเชื่อให้ภาครัฐเป็นหลัก รวมถึงมีโอกาสที่จะมีโครงการซื้อหุ้นคืนในอนาคต ด้าน valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.66x (-1.00SD) ส่วนราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือ 1 หมื่นล้านบาท มา 5 ไตรมาสติดกัน