เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ถือ” (เดิม “ขาย”) แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 12.50 บาท (เดิม 15.50 บาท) ยังอิง 2024E PER ที่ 7.9 เท่า (-1.0SD below 5yr-average PER) เราประเมินกำไรสุทธิ 2Q24E จะลดลงเป็น 143 ล้านบาท (-36% YoY, -24% QoQ) จาก 1) รายได้จะลดลงเป็น 1.8 พันล้านบาท (-17% YoY, -13% QoQ) ตามยอดผลิตรถยนต์ที่ลดลง (-16% YoY, -16% QoQ) และรายได้จากธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรที่ยังชะลอตัวตามกำลังซื้อที่ลดลงและผลกระทบภัยแล้ง, 2) GPM จะลดลงเป็น 15.5% (2Q23 = 18.0%, 1Q24 = 16.3%) จาก u-rate ที่ลดลง
เราปรับประมาณการกำไรปี 2024E ลง -17% เป็น 673 ล้านบาท -31% YoY โดยปรับลดรายได้ลงเป็น -14% YoY จากเดิม -10% YoY และปรับ GPM ลงเป็น 16.2% จากเดิม 17.1% จากยอดผลิตรถยนต์ที่ชะลอตัว สำหรับกำไร 1H24E จะอยู่ที่ 330 ล้านบาท -34% YoY คิดเป็น 49% จากทั้งปี สำหรับกำไร 3Q-4Q24E จะยังลดลง YoY แต่จะฟื้นตัวจาก 2Q24E จากยอดผลิตรถยนต์ที่ดีขึ้นจากปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดมาก และ SAT จะมีการรับรู้รายได้จากคำสั่งซื้อใหม่มากขึ้น ขณะที่ธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรเริ่มดีขึ้นจากสถานการณ์เอลนีโญที่คลี่คลายและฐานต่ำในปีก่อน
ราคาหุ้น underperform SET -8%/-25% ใน 1 และ 3 เดือน จากยอดผลิตรถยนต์ที่ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ถือ จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงสะท้อนยอดผลิตรถยนต์ 2Q24 ที่ชะลอตัวมากแล้ว และเริ่มมีปัจจัยช่วยหนุนให้ราคาหุ้นจะเริ่มทรงตัวได้ จากกำไร 3Q24E ที่จะฟื้นตัว QoQ ได้จากปัจจัยฤดูกาล และผลการดำเนินงานของ SAT ใน 2H24E จะยังดีกว่ากลุ่ม