เราคงคำแนะนำ “ถือ” และราคาเป้าหมาย 26.50 บาท อิง DCF เราประเมินกำไรปกติ 1Q24E ที่ 40 ล้านบาท ลดลง -23% YoY แต่พลิกฟื้นจากขาดทุนปกติ 4Q23 ที่ -104 ล้านบาท ใกล้เคียงกับกรอบที่เราประเมินเบื้องต้น กำไรปกติปรับตัวลง YoY สาเหตุหลักจากฐานภาษีสูงขึ้น หลังบริษัทหยุดรับรู้ deferred tax asset ของธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อตั้งแต่ 3Q23 แต่ถูกชดเชยบางส่วนจากปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานและปริมาณขนส่งน้ำมันทางท่อโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ขณะที่ผลการดำเนินงานปกติฟื้นตัว QoQ หนุนโดย 1) high season ของท่องเที่ยว, 2) SG&A อ่อนตัวจากค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานปรับตัวลงตามฤดูกาล, 3) อานิสงส์เงินปันผลจากโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น 25 ล้านบาท ซึ่งโดยปกติจะบันทึกในไตรมาส 1 ของปี, และ 4) ค่าใช้จ่ายทางภาษีลดลง -55% QoQ เนื่องจากใน 4Q23 มีการตัดจำหน่าย deferred tax asset ที่คาดจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ในอนาคตของธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อจำนวน 65 ล้านบาท หลังแผนเชื่อมท่อภาคตะวันออกเลื่อนจากประมาณการเดิม

เราคงกำไรปกติปี 2024E ที่ 167 ล้านบาท ฟื้นจากขาดทุนปกติปี 2023 ที่ -44 ล้านบาท สำหรับ 2Q24E เบื้องต้นประเมินกำไรปกติจะทรงตัว YoY และมีโอกาสอ่อนตัว QoQ เป็นผลจากปัจจัยฤดูกาลของท่องเที่ยว รวมถึงฐานสูงใน 1Q24E ที่มีอานิสงส์รายได้เงินปันผล

ราคาหุ้น underperform SET -11% ใน 6 เดือน แต่กลับมา in line กับ SET ใน 1-3 เดือน แม้ราคาหุ้นจะกลับมามี upside มากขึ้น ขณะที่ล่าสุดมีความคืบหน้าหลังจากที่บริษัทลูก ได้แก่ บาฟส์ขนส่งทางท่อ หรือ BPT (เดิม FPT) ได้รับการพิจารณาจากบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียม จำกัด (Thappline) ให้ดำเนินแผนเชื่อมท่อภาคตะวันออกเส้นทางสระบุรี-อ่างทอง โดยคาดจะเซ็นสัญญาได้ในปี 2024E อย่างไรก็ตามเรามองว่าประมาณการโดยรวมยังมีปัจจัยกดดันจากค่าใช้จ่ายทรงตัวสูง ทำให้ผลการดำเนินงานมีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์