เราคงคำแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2025E ที่ 12.00 บาท อิง 2025E PER ที่ 19.6x (-2.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ระยะยาว) SCGP รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 900 ล้านบาท ลดลง 48% YoY แต่ฟื้นตัวจากขาดทุน 57 ล้านบาทใน 4Q24 หากไม่รวมรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน กำไรปกติเข้ามาที่ 918 ล้านบาท (-45% YoY, +1,397% QoQ) ดีกว่าเราและตลาดคาด 10%/11% ตามลำดับ โดยกำไรลดลง YoY ตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและราคาขายในภูมิภาคที่อ่อนตัวลง ขณะที่ ฟื้นตัว QoQ หลักๆจากปริมาณการขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นและราคาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ที่อ่อนตัว ทั้งนี้ เรามีมุมองเป็นกลางหลังเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์แม้บริษัทน่าจะเห็นปริมาณขายที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง QoQ ได้ใน 2Q25E แต่แนวโน้มธุรกิจโดยรวมของบริษัทยังคงมีความน่าท้าทายจากราคาขายที่ยังผันผวน สำหรับ Fajar เรามองว่ายังมีความเสี่ยงที่บริษัทอาจจะยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน (breakeven) ตามแผนภายใน 2Q25E อย่างไรก็ดี ผลประกอบการของ Fajar น่าจะดีขึ้นหลังปรับโครงสร้างเงินทุนใหม่ภายใน 3Q25E
เราคงประมาณการกำไรปกติปี 2025E/2026E ที่ 2.9/3.5 พันล้านบาท เทียบกับ 3.9 พันล้านบาทในปี 2024 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือ 1) ปริมาณขายจะอยู่ในช่วง 5.8-5.9 ล้านตัน (mt) สูงขึ้นจาก 5.7 mt ในปี 2024 2) ราคาขายเฉลี่ย (blended ASP) จะอยู่ในช่วง USD670/ton-USD676/ton สูงขึ้นจาก USD660/ton ในปี 2024 และ 3) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะอยู่ในช่วงที่ลดลงที่ 16.4%-16.7% จาก 16.9% ในปี 2024
ราคาหุ้นลดลง 45% และ underperform SET 26% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาสะท้อนความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจในเอเชีย (โดยเฉพาะจีนและอินโดนีเซีย) ที่ชะลอตัว ทั้งนี้ ล่าสุดราคาหุ้นซื้อขายที่ 2025E PER ที่ 20.8x (ประมาณ -2.0SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ระยะยาว) กำไรปกติ 1Q25 คิดเป็น 32% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา ทั้งนี้ แม้เราเชื่อว่าบริษัทน่าจะเห็นปริมาณขายที่สูงขึ้นได้ต่อเนื่องใน 2Q25E แต่เราเชื่อว่าความเสี่ยงจากสงครามการค้าอาจจะทำให้เศรษฐกิจของตลาดสำคัญของบริษัท (เช่น จีนและอินโดนีเซีย) ยังคงผันผวนและทำให้บริษัทไม่สามารถปรับ blended ASP ให้สูงขึ้นได้