เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 กลุ่มธุรกิจการเงิน ดาโอ (ประเทศไทย) ได้จัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2024 DAOL Forum ในหัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจและแนวโน้มการลงทุนรับปีมังกร” เพื่อให้ลูกค้าได้ทราบถึงนโยบายของรัฐบาลที่จะส่งต่อทิศทางเศรษฐกิจไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม และมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับภาษีกับการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการลงทุนในปี 2024 นี้ นำทีมโดยคณะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของกลุ่มธุรกิจการเงิน ดาโอ (ประเทศไทย) และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งตัวแทนจากรัฐบาล จากภาคอุตสาหกรรม จากตลาดทุน และตลาดตราสารหนี้ และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี
📝 สรุปปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นโยบายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนไทย”
โดย คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
การเดินหน้าบริหารเศรษฐกิจในขณะนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเติบโตของทั้งอุปทาน และอุปสงค์ ควบคู่กันไป เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ มีการกระจายตัวที่ดี และมีเสถียรภาพ
ด้านอุปทาน พิจารณาใน 4 ด้าน คือ
ด้านอุปสงค์ ดูใน 4 เรื่อง คือ
หากในทุกด้านทำงานประกอบกัน จะสามารถเคลื่อนเศรษฐกิจให้รุดหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะเห็นผลได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นี้ หลังจากเมื่องบประมาณภาครัฐผ่านสภาฯ ออกมาให้ใช้จ่ายได้ในช่วงเดือน เม.ย ปีนี้ และการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ยังส่งผลดีอยู่
ปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไข คือ
ด้านนโยบายการคลัง ไทยยังคงต้องขาดดุลงบประมาณกันต่อไป เพราะต้องใช้เงินกู้เพื่อเติมการจัดเก็บรายได้ ด้านค่าเงินบาท คาดหวังว่าจะไม่แข็งจนเกินไป ดังนั้น การทรงดอกเบี้ย หรือการลดดอกเบี้ยลง แล้วปล่อยให้มีเงินตราต่างประเทศไหลออกไปบ้าง จะทำให้ค่าเงินบาทไม่แข็งค่ามาก และอ่อนค่าพอที่ผู้ส่งออกจะทำงานได้
“สรุปก็คือ อุปสงค์ และอุปทาน ต้องทำงานด้วยกัน และปัญหาต่าง ๆ รัฐบาลอยู่ระหว่างการแก้ไข ไม่ได้ถูกละเลย และอยากให้มั่นใจว่าโอกาสในการลงทุนในปีนี้จะชัดเจนขึ้น”
📌 ภาคอุตสาหกรรมไทยขับเคลื่อนการลงทุนในตลาดทุน
โดยคุณมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ในปีนี้มีปัจจัยส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในหลายด้าน เช่น ปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ความท้าทายที่มีผลต่อเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมไทย คือ มีความท้าทายในเชิงโครงสร้าง เช่น ภาวะโลกร้อน และสังคมผู้สูงอายุ และความท้าทายอุตสาหกรรมไทย เช่น กฎหมายยังล้าสมัยและเป็นอุปสรรค ต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบ และโลจิสติกที่สูง การขาดแรงงาน ขาดเทคโนโลยี นวัตกรรม และความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการทุ่มตลาดจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐาน และค่าเงินบาทที่ผันผวน
แต่เรื่องใหม่ที่จะมีผลต่อภาคธุรกิจใน 10 ปีจากนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นผลให้มีการออกกฎหมายเก็บภาษีสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง อย่างกฎระเบียบ CARBON BORDER ADJUSTMENT MECHANISM (CBEM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งมีผลต่อ 6 กลุ่มอุตสาหกรรมของไทย ได้แก่ เหล็ก ไฟฟ้า ซีเมนต์ อะลูมิเนียม ปุ๋ย และไฮโดรเจน ต้องปรับตัวในการซื้อคาร์บอนเครดิตให้เป็นศูนย์ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีเมื่อส่งออกสินค้าไปยุโรป ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ EV จะยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้า ส่วนเทรนด์พลังงานสะอาดที่น่าจับตามองคือ การใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor) ที่มีราคาค่าไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำอยู่ที่ไม่เกิน 1 บาท
ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรม ประเมินว่า มี 22 อุตสาหกรรมที่สามารถขยายตัว ในปี 2567 จาก 46 อุตสาหกรรม โดยมีอุตสาหกรรมเด่น ได้แก่ เครื่องดื่ม ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องมือแพทย์ และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับการลงทุน ส่วนอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ต้องระมัดระวังอุปทานที่ล้นตลาด หรือ Over supply
📌 แนวโน้มการลงทุนในตลาดทุนไทย
โดย ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ปี 2566 แม้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 15% ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียน -20% สะท้อนว่า นักลงทุนยังให้ความสนใจกับตลาดหุ้นไทย ไม่ได้ discount ราคาหุ้นและกำไรสุทธิต่ำลงมาก
สิ่งที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาในปีนี้ คือ
ตลาดหุ้นไทยเป็น Defensive Stock ที่นักลงทุนมองว่าปลอดภัยในการลงทุน และแนะนำนักลงทุนพิจารณาหุ้นเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มความยั่งยืน ซึ่งไทยมีบริษัทอยู่ในดัชนีชี้วัดด้านความยั่งยืน (DJSI) มากที่สุดในอาเซียนมาหลายปี และมี 14 บริษัทไทยที่ติดอันดับ Gold ใน S&P Global Yearbook 2024 ส่งผลให้ไทยมีบริษัทน่าลงทุนมากที่สุดในโลก ปีนี้ตลาดหุ้นน่าจะคึกคัก จากจำนวนหลักทรัพย์ที่เตรียมเข้า IPO ในปีนี้ ที่ยื่นไฟลิ่งเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มากถึง 38 บริษัท (ข้อมูล ณ 27 ก.พ. 67)
SET ได้ยกระดับเกณฑ์การกำกับดูแลบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียน และกำหนดแนวทางมาตรการการกำกับดูแลการขายชอร์ต (Short Selling) มาตรการ Program Trading เช่น การป้องกันราคาผันผวนผิดปกติ และการปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล ซึ่งเป็นการดำเนินการในทั้งระบบ และกระบวนการ เพื่อสร้างความมั่นใจกับนักลงทุน
📝 แนวโน้มการลงทุนในตลาดตราสารหนี้
โดย ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)
ปัจจุบันตลาดการเงินไทยค่อนข้างดีมีความสมดุล ผู้ระดมทุนทั้งบริษัทและภาครัฐ สามารถเลือกระดมได้สะดวกในภาวะที่เหมาะสม โดยขนาดตลาดตราสารหนี้ อยู่ที่ 16.7 ลลบ. สินเชื่อธนาคาร 18.5 ลลบ.และตลาดหุ้น 16.8 ลลบ.รวมเป็น 52 ลลบ. คิดเป็น 3 เท่าของขนาด GDP ประเทศ
📌 ด้านมุมมองตราสารหนี้
ปัจจุบันส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐฯ อาจจะทำให้มีเงินของนักลงทุนต่างชาติไหลออกบ้าง แต่ไม่ส่งผลให้ตลาดสะเทือน
📌 การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย
จากผลสำรวจของ ThaiBMA คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ไม่เกิน 2 ครั้ง รวม 0.50%
📌 ด้านสัดส่วนของตลาดตราสารหนี้
50% เป็นพันธบัตรรัฐบาล อีก 28% เป็นหุ้นกู้เอกชน และพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 14% ด้านตราสารหนี้เอกชน หุ้นกู้ระยะยาว กลุ่มพลังงาน มีมูลค่าคงค้างมากที่สุดรวม 4.5 ล้านล้านบาท รองลงมา คือกลุ่มการเงิน อสังหาริมทรัพย์ สื่อสาร และอาหาร โดย 5 กลุ่มนี้ รวมเป็น 60% ของตลาดตราสารหนี้ ด้านอันดับเครดิต หุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต A มีมูลค่าคงค้างสูงที่สุด หุ้นกู้ Investment grade มีมูลค่าคงค้างรวม 92% และอีก 8% เป็นหุ้นกู้ Non-Investment grade
📌 ด้านมาตรการที่ช่วยเหลือผู้ลงทุน
กรณีหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ ThaiBMA สนับสนุนให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่แม้กฎหมายยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ช่วยให้การสื่อสารไปยังผู้ถือหุ้นกู้ดีขึ้น และให้นักลงทุนสามารถใช้สิทธิของตนเองได้ดีพอสมควร การทำงานร่วมกัน SET จัดหาข้อมูลค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (Industry average) เพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบได้ดีขึ้น และการปรับปรุงสัญญาให้ผู้ออกตราสารหนี้ให้อยู่ในกรอบและหลักเกณฑ์
📌 แนะนำจัดทัพลงทุนแบบฟุตบอล
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดเงินและตลาดทุน
โดยจัดทัพสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และมีการการกระจายความเสี่ยง ขณะเดียวกัน การลงทุนในตราสารหนี้ ให้พิจารณาความเสี่ยงด้านราคา ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงในการขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านเครดิต โดยคำนึงสัดส่วนการลงทุนในตราสารแต่ละตัวให้เหมาะสม และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ที่ไม่คล่องตัวเท่ากับหุ้นสามัญ
📝 สรุปคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวและวางแผนภาษีจากการลงทุนต่างประเทศ
โดย คุณประพันธ์ พิชัยวัฒน์โกมล ทนายความหุ้นส่วน Siam Premier International Law Office Limited
กรณีมีคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 161 และ 162 กำหนดว่า เงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค 67 เป็นต้นไป ในปีภาษีที่บุคคลอยู่ในประเทศตั้งแต่ 180 วันขึ้นไป หากบุคคลนั้นนำเงินได้ฯ นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีดังกล่าวหรือในปีภาษีต่อมาภายหลัง จะต้องนำเงินได้ฯ มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามฐานภาษีของแต่ละคน ในปีภาษีที่นำเงินได้ฯ เข้ามาในประเทศไทย โดยปัจจุบัน กรมสรรพากรยังไม่ได้ออกแนวทางในการปฎิบัติในส่วนของเอกสารหลักฐานที่จะใช้ในการประกอบการพิจารณา หรือข้อหารือเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการเริ่มเสียภาษีครั้งแรกตามกฎหมายนี้ ในเดือน มี.ค. 68
ดังนั้น จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนตรงในหลักทรัพย์ต่างประเทศ จะต้องเก็บหลักฐานการลงทุนทุกอย่าง ตั้งแต่จำนวนนำเงินออกจากประเทศไทย ประเภทผลตอบแทนที่ได้รับจากต่างประเทศ เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล และกำไรจากการขายหลักทรัพย์ และจำนวนเงินที่กลับเข้ามาในประเทศ รวมทั้งเอกสารที่ใช้ในการขอเครดิตภาษีหากมีการเสียภาษีในต่างประเทศแล้ว
โดยประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ ความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งกรมสรรพากร ความชัดเจนในทางปฏิบัติ ทั้งฐานภาษี อัตราภาษี วิธีเสียภาษี และวิธีขจัดภาษีซ้อน ความเป็นธรรมในการเสียภาษีจากเงินได้จากต่างประเทศเทียบกับเงินได้ในประเทศ หรือการแข่งขันกับต่างประเทศ และผลเสียจากการขาดแหล่งเงินทุนในประเทศเพราะไม่นำเงินกลับเข้ามา
ทั้งนี้ สำหรับคำแนะนำในการบริหารจัดการเรื่องภาษีเงินได้จากแหล่งเงินได้ต่างประเทศนี้ ทำได้หลายรูปแบบ นอกจาก การเลือกลงทุนต่างประเทศที่ไม่เข้าเกณฑ์เสียภาษี เช่น การลงทุนผ่านกองทุนรวมในประเทศไทยที่นำเงินไปลงทุนต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น
ทั้งนี้ สำหรับนักลงทุนที่สนใจที่จะชมงานสัมมนา 2024 DAOL Forum นโยบายเศรษฐกิจและแนวโน้มการลงทุนรับปีมังกร ย้อนหลังสามารถรับชมได้ทาง Youtube DAOL Channel
DAOL Contact Center Address เลขที่ 87/2 อาคารซีอาร์ซีทาวเวอร์ ชั้นที่ 18 ออลซีซั่นส์เพลส ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
©2024 บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สงวนลิขสิทธิ์