     บอร์ดค่าจ้างปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำใน กทม. และกลุ่มภาคท่องเที่ยวและบริการทั่วประเทศ เป็น 400 บาท มีผล 1 ก.ค. ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) มีมติ 2 ใน 3 จากทั้งส่วนของนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ให้ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาทในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมกับขึ้นค่าแรง 400 บาทในบางกลุ่มอาชีพทั่วประเทศ คือ กิจการโรงแรม ตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป หรือมีห้องอาหาร และกิจการสถานบริการทั่วประเทศ อาทิ คาราโอเกะ คอกเทลเล้าจ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2025 เป็นต้นไป ซึ่งจะมีแรงงานที่จะได้รับประโยชน์จากการขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ประมาณ 7 แสนคน โดยจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป (ที่มา: อินโฟเควสท์)

 

     เรามีมุมมองเป็นลบ โดยการปรับขึ้นค่าแรงใหม่ดังกล่าว ปรับตัวเพิ่มขึ้น +7.5% จากเดิมที่ 372 บาท สำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง งานส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ กทม. >50% เบื้องต้นเราประเมินต้นทุนค่าแรงโดยรวมที่สูงขึ้น +7.5% จะกระทบกำไร STECON ราว 10-12% และ CK และ SEAFCO ราว 5-7% อย่างไรก็ตามผลกระทบมีโอกาสน้อยกว่าคาดการณ์ หรือราว +/-5% เนื่องจากผู้ประกอบการรับเหมากลุ่มนี้ งานส่วนใหญ่เป็นงานที่ใช้ทักษะ ทำให้อัตราค่าจ้างสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำทั่วไป รวมถึงบริษัทมีการใช้ subcontractor ร่วมด้วย ขณะที่เรายังคาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงาน 2H25E จะปรับตัวดีขึ้นเนื่องตามการฟื้นตัวของ backlog ทั้งนี้เราคงน้ำหนักกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง “Overweight” และ Top pick ได้แก่ CK (ซื้อ/เป้า 22.00 บาท) และ STECON (ซื้อ/เป้า 10.00 บาท)

     สำหรับกลุ่มท่องเที่ยว เรามองเป็นลบเล็กน้อยต่อกลุ่มท่องเที่ยวจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 400 บาท ของกลุ่มโรงแรมทั่วประเทศ โดยอ้างอิงจากรอบก่อนวันที่ 13 เม.ย. 24 มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทแล้วใน 10 พื้นที่ ธุรกิจโรงแรม 4 ดาวขึ้นไป ดังนี้ กทม. เฉพาะที่เขตปทุมวันและวัฒนา, จังหวัดกระบี่ เฉพาะเขตองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวนาง, จังหวัดชลบุรี เฉพาะเขตเมืองพัทยา, จังหวัดเชียงใหม่ เฉพาะเขตเทศบาลนครเชียงใหม่, จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะเขตเทศบาลหัวหิน, จังหวัดพังงา เฉพาะเขตเทศบาลตำบลคึกคัก, จังหวัดภูเก็ต (ทั้งจังหวัด), จังหวัดระยอง เฉพาะเขตตำบลบ้านเพ, จังหวัดสงขลา เฉพาะเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ และ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เฉพาะเขตอำเภอเกาะสมุย ซึ่งใน 10 พื้นที่ครอบคลุมโรงแรมที่เรา cover อยู่ไปเกือบหมดแล้ว ทำให้เบื้องต้นเราคาดว่าผลกระทบรอบนี้ที่มีการปรับจังหวัดที่เหลือ จะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิน้อยกว่า -1% เพราะโรงแรมส่วนใหญ่อยู่พื้นที่ที่เคยโดนปรับขึ้นค่าแรงอยู่แล้ว โดยอ้างอิงกระทบต่อกำไรสุทธิรอบก่อนของ CENTEL และ ERW อยู่ที่ราว -1.5% และ -2.0%  ตามลำดับ (CENTEL และ ERW มีสัดส่วนโรงแรมในประเทศไทยที่ 75% และ 80% ตามลำดับ) โดยรอบนี้เราคาดว่า CENTEL จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า ERW เพราะรอบก่อน CENTEL ได้รับผลกระทบมากกว่าไปแล้ว นอกจากนี้จากการสอบถาม CENTEL เปิดเผยว่าเหลือเพียง 3 โรงแรม (จากทั้งหมด 51 โรงแรม) ที่ยังไม่ได้ปรับค่าแรงขึ้นเป็น 400 บาท ส่วน MINT และ SHR มีสัดส่วนโรงแรมในประเทศไทยไม่มากที่ราว 15% และ 20% ตามลำดับ ทำให้มีผลกระทบน้อยกว่ากลุ่ม ทั้งนี้กลุ่มท่องเที่ยวเรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “Neutral” เลือก MINT (ซื้อ/เป้า 34.00 บาท) เป็น Top pick

     สำหรับกลุ่ม Agri & Food เรามองว่าได้รับผลกระทบจำกัดการปรับขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ เนื่องจากโรงงานผลิตอยู่ในพื้นที่นอกเขต กทม. อย่างไรก็ตามอาจมีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นค่าแรงในพื้นที่อื่นเพิ่มเติม เบื้องต้นเราประเมินต้นทุนค่าแรงรวมที่เพิ่มขึ้น +7.5% จะกระทบกำไร AAI, GFPT, ITC, NER, และ TU ราว -5% อย่างไรก็ตามมองว่าผลกระทบจะถูกชดเชยบางส่วนจากการปรับราคาขายขึ้น รวมถึงบริษัทเหล่านี้มีการทยอยปรับปรุงประสิทธิภาพไลน์การผลิตและขยายระบบ automation

     กลุ่ม Food & Beverage, Restaurant กระทบจำกัดเนื่องจากค่าแรงพนักงานเกิน 400 บาท/วัน

     กลุ่ม Commerce เรามองผลกระทบจำกัดจากค่าแรงพนักงานปัจจุบันสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

     PTG (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท) การปรับค่าแรงขั้นต่ำประเมินผลกระทบเล็กน้อยเนื่องจากมีสัดส่วนปั๊มน้ำมันใน กทม และปริมณฑลราว 10% ซึ่งหากประเมินผลกระทบเต็มปีกระทบกำไรราว 2-3%